Skip to content
Home » “เช่ารถขับที่ญี่ปุ่น” ด้วยตนเองยากไหม? ฉบับคนไม่เคยขับ! อัปเดต 2025!

“เช่ารถขับที่ญี่ปุ่น” ด้วยตนเองยากไหม? ฉบับคนไม่เคยขับ! อัปเดต 2025!

  • admin 

ภาพฝันการขับรถลัดเลาะไปตามชนบทสวย ๆ หรือแวะพักริมทางที่ไหนก็ได้ตามใจชอบเวลาไปเที่ยวญี่ปุ่น ฟังดูเป็นอิสระและน่าตื่นเต้นสุด ๆ ใช่ไหม? “แต่พอคิดถึงเรื่องการ “เช่ารถขับที่ญี่ปุ่น” ด้วยตัวเอง หลายคนก็อาจจะเริ่มมีคำถามผุดขึ้นมาในใจ โดยเฉพาะกับคนที่ยังไม่เคยมีประสบการณ์ขับรถที่นั่นมาก่อนเลยว่า สรุปแล้วการขับรถเที่ยวญี่ปุ่นเอง “ยากจริง” หรือ “ง่ายกว่าที่คิด” กันแน่นะ?

ภาพฝันการขับรถลัดเลาะไปตามชนบทสวย ๆ หรือแวะพักริมทางที่ไหนก็ได้ตามใจชอบเวลาไปเที่ยวญี่ปุ่น ฟังดูเป็นอิสระและน่าตื่นเต้นสุด ๆ

ถ้าคำถามเหล่านี้กำลังวนเวียนอยู่ในหัวคุณอยู่ หายห่วงได้เลย เพราะบทความนี้สร้างมาเพื่อคุณโดยเฉพาะ! เราตั้งใจรวบรวม และ“เคลียร์ทุกข้อสงสัย” เกี่ยวกับการขับรถในญี่ปุ่นสำหรับมือใหม่แบบเข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน!

มาถึงอีกจุดตัดสินใจสำคัญสำหรับนักท่องเที่ยวหลายคนที่วางแผนเที่ยวญี่ปุ่นเลยครับ ว่าจะเลือกเดินทางแบบไหนดี ระหว่างการ “ขับรถเที่ยวญี่ปุ่น” ด้วยตัวเอง หรือใช้บริการ “รถไฟญี่ปุ่น” และขนส่งสาธารณะต่าง ๆ มาดูข้อดีข้อเสียเปรียบเทียบกันชัด ๆ เพื่อให้คุณตัดสินใจได้ว่าแบบไหนเหมาะกับสไตล์การเที่ยวของคุณมากกว่ากัน

ขับรถเที่ยวญี่ปุ่น vs นั่งรถไฟ แบบไหนคือใช่สำหรับคุณ
  • ข้อดี :
    • อิสระและยืดหยุ่นสูงสุด : อยากไปไหน แวะเมื่อไหร่ก็ได้ตามใจ ไม่มีข้อจำกัดเรื่องตารางเวลา ช่วยให้ปรับแผนระหว่างทางได้ง่าย
    • เข้าถึงพื้นที่ Unseen : หลายสถานที่ท่องเที่ยวสวยงามตามธรรมชาติ หมู่บ้านเล็กๆ หรือจุดชมวิวบางแห่ง รถไฟเข้าไม่ถึง การขับรถคือคำตอบเดียว
    • ขนสัมภาระสะดวกสบาย : ไม่ต้องกังวลเรื่องการลากกระเป๋าใบใหญ่ขึ้นลงบันไดสถานีรถไฟ โดยเฉพาะถ้าเดินทางหลายคนหรือซื้อของเยอะ
    • เหมาะกับการเที่ยวเป็นกลุ่ม/ครอบครัว : การแชร์ค่าใช้จ่ายรถเช่า ค่าน้ำมัน หรือค่าทางด่วน อาจคุ้มค่ากว่าซื้อตั๋วรถไฟหลายๆ ใบ และจัดการเรื่องการเดินทางได้ง่ายกว่า
    • ได้สัมผัสบรรยากาศสองข้างทาง : ได้เห็นวิวสวยๆ ระหว่างเมืองอย่างเต็มที่ ไม่ต้องคอยมองหาป้ายสถานี
  • ข้อเสีย:
    • ค่าใช้จ่ายรวมอาจสูงกว่า : นอกเหนือจากค่าเช่ารถ ยังมีค่าน้ำมัน ค่าทางด่วนที่ค่อนข้างแพง และค่าที่จอดรถ (โดยเฉพาะในเมืองใหญ่) ที่ต้องนำมาคำนวณ
    • ต้องใช้สมาธิและพลังงาน : ต้องคอยดูเส้นทาง ป้ายจราจร และกฎต่างๆ ตลอดเวลา อาจมีความเครียดสะสม โดยเฉพาะถ้าไม่คุ้นเคย
    • ไม่สะดวกในเมืองใหญ่ : การขับรถและหาที่จอดในโตเกียว โอซาก้า หรือเกียวโต อาจเป็นเรื่องท้าทายมากๆ ระบบรถไฟในเมืองใหญ่ดีกว่าเยอะ
    • ต้องมีเอกสารและคุณสมบัติพร้อม : ต้องมีใบขับขี่สากล มีความมั่นใจในการขับรถในต่างประเทศ
  • ข้อดี :
    • สะดวกสบายและตรงเวลาในเมืองใหญ่ : ระบบรถไฟในเมืองต่างๆ ของญี่ปุ่นครอบคลุมและมีประสิทธิภาพสูง ตรงเวลาเป๊ะ ไปถึงจุดหมายหลักๆ ได้ง่ายดาย
    • ไม่ต้องกังวลเรื่องขับขี่ : ไม่ต้องเครียดเรื่องเส้นทาง กฎจราจร การหาที่จอด หรือเติมน้ำมัน แค่นั่งชิลๆ ชมวิว (หรือจะหลับก็ได้!)
    • ประหยัดกว่าในการเที่ยวเน้นเมือง : โดยเฉพาะถ้าซื้อ Pass ต่างๆ ที่ครอบคลุมการเดินทางด้วยรถไฟ
    • เหมาะกับการเดินทางคนเดียวหรือกลุ่มเล็ก : จัดการเรื่องตั๋วที่นั่งได้ง่ายกว่า
    • เข้าถึงใจกลางเมืองได้สะดวก : สถานีรถไฟมักตั้งอยู่ในทำเลใจกลางเมือง หรือแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ
  • ข้อเสีย :
    • ไม่ยืดหยุ่น ต้องตามตารางเวลา : พลาดรถไฟรอบที่ต้องการอาจต้องรอนาน และจำกัดเวลาเที่ยวตามรอบรถไฟรอบสุดท้าย
    • ไปได้แค่ที่ที่มีสถานี : หากสถานที่ท่องเที่ยวอยู่ห่างจากสถานีรถไฟมากๆ อาจต้องต่อรถบัสหรือแท็กซี่อีกทอด ทำให้ไม่สะดวกเท่าขับรถไปถึงที่
    • การขนสัมภาระอาจลำบาก : โดยเฉพาะช่วงเวลาเร่งด่วน หรือต้องเปลี่ยนขบวนรถไฟบ่อยๆ การลากกระเป๋าอาจเป็นอุปสรรคได้
    • ความหนาแน่น : รถไฟบางสาย โดยเฉพาะช่วงเวลาเร่งด่วน อาจจะมีผู้โดยสารหนาแน่นมาก

ถ้าคุณให้ความสำคัญกับความอิสระ อยากแวะระหว่างทางบ่อยๆ หรือมีแพลนจะไปเที่ยวในพื้นที่ชนบท อุทยานแห่งชาติ หรือเมืองเล็ก ๆ ที่รถไฟไปไม่ถึง หรือเดินทางเป็นกลุ่มใหญ่/ครอบครัว และมีสัมภาระเยอะ “การขับรถเที่ยวญี่ปุ่น” น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า แต่ถ้าทริปของคุณเน้นเที่ยวในเมืองใหญ่เป็นหลัก ไม่ได้อยากขับรถเอง กังวลเรื่องการจอดรถหรือกฎจราจร และชอบความสะดวกสบาย ตรงเวลาของระบบขนส่งสาธารณะ “การใช้รถไฟญี่ปุ่น” ก็ตอบโจทย์มากกว่า บางคนอาจจะเลือกใช้ “ทั้งสองแบบผสมผสานกัน” ก็ได้นะ เช่น ใช้รถไฟเที่ยวในโตเกียวหรือโอซาก้า แล้วค่อยเช่ารถขับตอนออกไปเที่ยวนอกเมืองในภูมิภาคอื่น ๆ ซึ่งเป็นอีกทางเลือกที่ลงตัวมาก ๆ เลย

หลังจากตัดสินใจได้แล้วว่าจะลุยเช่ารถขับในญี่ปุ่น สิ่งแรกที่ต้องเตรียมคือ “เอกสาร” นี่แหละ สำคัญมากๆ เพราะถ้าเอกสารไม่ครบหรือไม่ถูกต้อง คุณก็จะไม่สามารถรับรถเช่าได้เลยนะ สำหรับคนไทยที่ต้องการ “เช่ารถขับที่ญี่ปุ่น” คุณต้องมีเอกสารหลัก ๆ สองอย่างคู่กันเสมอคือ :

ใบอนุญาตขับขี่ระหว่างประเทศ (International Driving Permit - IDP) ที่ออกตามอนุสัญญาว่าด้วยการจราจรทางถนน ค.ศ. 1968 (พ.ศ. 2511)
  1. ใบอนุญาตขับขี่ของประเทศไทย (ใบขับขี่ไทย) ที่ยังไม่หมดอายุ
  2. ใบอนุญาตขับขี่ระหว่างประเทศ (International Driving Permit – IDP) ที่ออกตามอนุสัญญาว่าด้วยการจราจรทางถนน ค.ศ. 1968 (พ.ศ. 2511)

ทำไมต้องเน้นว่า “แบบปี 1968” เพราะว่าญี่ปุ่นยอมรับ IDP ที่ออกตามอนุสัญญาฯ ปี 1968 เท่านั้น ซึ่งข่าวดีก็คือ “ประเทศไทยออก IDP ตามอนุสัญญาฯ ปี 1968” คุณสามารถไปทำได้ที่กรมการขนส่งทางบก ทั่วประเทศเลย

ขั้นตอนการทำใบขับขี่สากลในไทย (แบบปี 1968)
  • ไปที่สำนักงานขนส่งที่คุณสะดวก
  • เตรียมเอกสาร : ใบขับขี่ไทย (แบบสมาร์ทการ์ด), บัตรประชาชน, รูปถ่ายหน้าตรงไม่สวมหมวก ไม่ใส่แว่นตาดำ ขนาด 2 นิ้ว 2 รูป, สำเนาเอกสารทั้งหมดอย่างละ 1 ฉบับ
  • ยื่นเรื่อง : ชำระค่าธรรมเนียม (ประมาณ 505 บาท อัปเดตล่าสุดปี 2025 ลองเช็คกับขนส่งอีกทีเพื่อความชัวร์นะ)
  • รอรับ IDP ได้เลย ใช้เวลาไม่นาน

ใบขับขี่สากลแบบปี 1968 นี้จะมีอายุ 1 ปีนับจากวันที่ออก และสามารถนำไปใช้ขับรถในประเทศที่ร่วมอนุสัญญาได้รวมถึงญี่ปุ่นด้วย

ใบแปลใบอนุญาตขับขี่ที่ออกโดย JAF (Japan Automobile Federation) หรือสมาพันธ์รถยนต์แห่งประเทศญี่ปุ่น

ใบแปลใบอนุญาตขับขี่ที่ออกโดย JAF (Japan Automobile Federation) หรือสมาพันธ์รถยนต์แห่งประเทศญี่ปุ่น อันนี้จริง ๆ แล้วมีไว้สำหรับผู้ที่ถือใบขับขี่จากบางประเทศที่ไม่ได้เป็นภาคีของอนุสัญญาฯ ปี 1968 ซึ่งสำหรับคนไทยที่มี IDP แบบปี 1968 ที่ออกโดยกรมการขนส่งทางบกไทยแล้ว “ส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องใช้ใบแปลจาก JAF เพิ่มเติม” แต่ก็ควรตรวจสอบกับบริษัทรถเช่าที่คุณจะใช้บริการอีกครั้งเพื่อความมั่นใจที่สุด

  • ต้องพก “ทั้ง” ใบขับขี่ไทย “และ” ใบขับขี่สากล (IDP ปี 1968) คู่กันเสมอ เวลาไปรับรถเช่าและเวลาขับรถ อย่าพกไปแค่อย่างใดอย่างหนึ่งนะ!
  • ใบขับขี่ทั้งสองใบ ต้องยังไม่หมดอายุ ในระหว่างช่วงเวลาที่คุณขับรถในญี่ปุ่น
  • คุณอาจจะต้องแสดง หนังสือเดินทาง (Passport) ควบคู่ไปด้วยตอนรับรถ
  • ห้ามใช้สำเนาเอกสารในการรับรถเด็ดขาด ต้องใช้ตัวจริงเท่านั้น
ทำใบขับขี่สากล ผ่านแอปฯเป๋าตัง ได้แล้ว ไม่ต้องเดินทางไปขนส่ง รอรับที่บ้านได้ทันที

“รู้หรือไม่? ทำใบขับขี่สากล “ผ่านแอปฯเป๋าตัง” ได้แล้ว ไม่ต้องเดินทางไปขนส่ง รอรับที่บ้านได้ทันที อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.dlt.go.th

พอได้รถมาอยู่ในมือแล้ว ก่อนออกตัว สิ่งที่เราต้องแม่นยำคือเรื่องกฎจราจรและความหมายของป้ายต่าง ๆ ไม่ต้องกลัวว่าจะยากเกินไป เพราะถ้าเข้าใจหลัก ๆ แล้ว ขับในญี่ปุ่นก็ไม่ได้น่าสับสนอะไรมาก “ข่าวดี ญี่ปุ่นขับรถ “เลนซ้าย” เหมือนบ้านเราเลย! อันนี้คือสิ่งที่คนไทยอย่างเราคุ้นเคย ไม่ต้องปรับตัวเยอะ

การจอด ในเมืองใหญ่เรื่องที่จอดรถค่อนข้างเข้มงวด มีโซนห้ามจอดชัดเจน การจอดผิดที่ผิดเวลาโดนลากและปรับหนักมาก
  • ความเร็ว : โดยทั่วไปแล้วญี่ปุ่นจำกัดความเร็วค่อนข้างเคร่งครัด ทางหลวงส่วนใหญ่อยู่ที่ 80-100 กม./ชม. ถนนทั่วไปในเมืองจะต่ำกว่านี้ (เช่น 40-50 กม./ชม.) อย่าขับเพลินจนเกินกำหนดนะ กล้องเยอะและโดนปรับหนักเอาเรื่อง
  • คนเดินเท้าสำคัญสุด : ที่ญี่ปุ่น คนเดินเท้าคือ “King” คุณต้องหยุดให้คนข้ามถนนเสมอ ไม่ว่าจะทางม้าลายแบบมีไฟหรือไม่มีไฟก็ตาม
  • สัญญาณไฟจราจร : คล้ายบ้านเรา ไฟเขียวไปได้ ไฟเหลืองเตรียมหยุด ไฟแดงหยุดสนิท แต่ระวังเรื่องเลี้ยว อาจจะมีสัญญาณไฟลูกศรเฉพาะสำหรับเลี้ยวโดยเฉพาะ
ป้ายให้ทาง (一時停止 - Ichiji Teishi) อันนี้ก็สำคัญ มักเจอพร้อมกับป้ายหยุด หรือในแยกย่อย ๆ
  • ป้ายหยุด (止まれ – Tomare) : อันนี้สำคัญที่สุด เป็นป้าย 8 เหลี่ยมสีแดง มีตัวอักษรญี่ปุ่นว่า 止まれ หรือบางทีมีภาษาอังกฤษ STOP ใต้ป้าย เห็นป้ายนี้ต้องหยุดรถให้ “สนิท” ทุกครั้ง ก่อนไปต่อ มองซ้ายขวาให้เคลียร์ ไม่ใช่แค่ชะลอแล้วไปนะ! การไม่หยุดสนิทที่ป้ายนี้เป็นข้อหาหลักที่นักท่องเที่ยวมักโดนปรับ
  • ป้ายจำกัดความเร็ว (速度制限 – Sokudo Seigen) : เป็นป้ายวงกลมสีขาว มีขอบสีแดงและตัวเลขความเร็วสีดำตรงกลาง เห็นปุ๊บขับไม่เกินตัวเลขนั้นนะ
  • ป้ายห้ามจอด (駐車禁止 – Chūsha Kinshi) / ห้ามหยุดห้ามจอด (駐停車禁止 – Chūteisha Kinshi) : สังเกตสัญลักษณ์วงกลมสีน้ำเงิน ขอบแดง คาดด้วยเส้นสีแดง 1 หรือ 2 เส้น อันนี้ต้องจำให้ดี โดยเฉพาะถ้าขับเข้าเมือง
ฝ่าไฟแดง หรือ ไม่หยุดที่ป้ายหยุด อันตรายและโดนปรับหนักสุด ๆ
  • ดื่มแล้วขับ (飲酒運転 – Inshu Unten) : กฎหมายญี่ปุ่นเข้มงวดมากเรื่องนี้ มีค่าปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดที่ยอมรับได้ต่ำมาก (เกือบจะเป็นศูนย์สำหรับนักท่องเที่ยว) และบทลงโทษรุนแรงมาก อย่าเสี่ยงดื่มแม้แต่นิดเดียวแล้วขับเด็ดขาด
  • ใช้มือถือขณะขับรถ (携帯電話使用等 – Keitai Denwa Shiyō tō) : ห้ามแตะหรือใช้มือถือขณะขับรถเลย การคุยโทรศัพท์ต้องใช้ Hand-free เท่านั้น

การศึกษากฎจราจรที่ญี่ปุ่น และจำป้ายจราจรที่ญี่ปุ่นสำคัญ ๆ ให้ได้ จะช่วยให้คุณขับรถได้อย่างมั่นใจ ปลอดภัย และหมดกังวลเรื่องการทำผิดกฎโดยไม่รู้ตัว

มาถึงช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้น นั่นคือการทำให้รถเช่าในฝันของคุณกลายเป็นจริง! การ “เช่ารถขับที่ญี่ปุ่น” ฟังดูอาจจะซับซ้อน แต่จริง ๆ แล้วมีขั้นตอนที่ไม่ต่างจากการเช่ารถที่อื่น ๆ มากนัก แค่ต้องใส่ใจรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เป็นแบบฉบับญี่ปุ่นนิดหน่อยเองนี่คือไกด์ทีละขั้นตอน “วิธีเช่ารถที่ญี่ปุ่น” ฉบับที่คุณทำตามได้ไม่ยาก :

ตัดสินใจ เช่ารถขับที่ญี่ปุ่น เองดีไหม บทความนี้มีคำตอบ คลายกังวลด้วยคู่มือฉบับคนไม่เคยขับ ปี 2025
  • เลือกบริษัท : ญี่ปุ่นมีบริษัทรถเช่าชั้นนำหลายเจ้าที่ได้รับความนิยมในหมู่นักท่องเที่ยว เช่น Toyota Rent a Car, Nissan Rent a Car, Times Car Rental, Nippon Rent-A-Car บริษัทเหล่านี้มีสาขาครอบคลุมทั่วประเทศ รวมถึงจุดรับ-คืนรถที่สะดวกตามสนามบินหลัก ๆ (ทำให้หาตัวเลือกเช่ารถสนามบินที่ญี่ปุ่นได้ง่าย) ลองเข้าไปดูเว็บไซต์ของบริษัทเหล่านี้โดยตรง หรือใช้เว็บไซต์เปรียบเทียบราคาเพื่อหาราคา และเงื่อนไขที่คุ้มค่าที่สุดสำหรับทริปของคุณ ถ้าไม่อยากยุ่งยากลองบริการของ Trip Japan Online
  • เวลาจอง : “แนะนำว่าควรจองล่วงหน้า” โดยเฉพาะถ้าเดินทางช่วงฤดูท่องเที่ยวหรือวันหยุดยาวของญี่ปุ่น เพราะรถอาจจะเต็มเร็ว การจองผ่านเว็บไซต์ของบริษัทเช่ารถโดยตรง หรือผ่านตัวแทน ก็ทำได้ง่าย สะดวก และมักมีโปรโมชั่นดี ๆ
  • ข้อมูลที่ต้องเตรียมตอนจอง : วันที่และเวลาที่ต้องการรับรถ-คืนรถ, สถานที่รับ-คืนรถ (เลือกระหว่างสนามบินหรือสาขาในเมือง), ประเภทรถที่ต้องการ, จำนวนผู้โดยสารและสัมภาระ, และอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ ที่อาจจำเป็น เช่น ระบบนำทาง (GPS ซึ่งส่วนใหญ่มักจะมีให้เลือกระบบภาษาอังกฤษ), ที่นั่งเด็ก, หรือ ETC Card สำหรับจ่ายค่าทางด่วนอัตโนมัติ
  • พิจารณาจากจำนวนคนและกระเป๋าเดินทางเป็นหลัก : เลือกรถที่มีพื้นที่เพียงพอให้นั่งสบายและเก็บของได้หมด การยัดคนหรือกระเป๋าแน่นเกินไปจะทำให้การเดินทางไม่สนุกเอาได้นะ
  • ดูเส้นทางการขับขี่ : ถ้าเน้นขับในเมืองใหญ่ รถขนาดกะทัดรัดอาจจะคล่องตัวกว่า แต่ถ้าเดินทางไกล ออกต่างจังหวัด หรือไปช่วงที่มีโอกาสเจอหิมะ อาจจะต้องพิจารณารถที่ใหญ่ขึ้น หรือมีระบบขับเคลื่อนที่ดีขึ้น
  • โดยทั่วไป ค่าเช่ารถพื้นฐานจะรวมประกันคุ้มครองความเสียหายต่อตัวรถ (Collision Damage Waiver – CDW) อยู่แล้ว ซึ่งมีค่าเสียหายส่วนแรก (Deductible) ที่ผู้เช่าต้องรับผิดชอบในกรณีที่รถเสียหาย
  • สิ่งที่สำคัญและแนะนำให้ซื้อเพิ่มคือ ประกันคุ้มครองค่า NOC (Non-Operation Charge) หรือค่าเสียโอกาสในการนำรถไปให้เช่าต่อในระหว่างที่รถเข้าซ่อม ค่า NOC นี้ประกัน CDW พื้นฐาน “ไม่ครอบคลุม” การซื้อประกันเสริมที่ครอบคลุม NOC (บางทีเรียกว่า Full Coverage หรือ Safety/Relaxation Plan) จะช่วยให้คุณไม่ต้องจ่ายเงินก้อนนี้ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุหรือรถมีปัญหาจนนำไปให้เช่าต่อไม่ได้ แม้จะเป็นรอยเล็กๆ ก็ตาม เพื่อความสบายใจ จ่ายเพิ่มอีกนิดแต่คุ้มค่ามาก
  • ศึกษาเงื่อนไขประกันอื่น ๆ ที่บริษัทมีเสนอ เช่น ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล หรือบริการช่วยเหลือฉุกเฉินริมทาง
  • ไปถึงสาขาที่จองไว้ตามเวลาที่นัดหมาย (เผื่อเวลาในการเดินทางไปรับรถด้วยนะ)
  • ยื่นเอกสารที่เตรียมไว้ให้เจ้าหน้าที่ : ใบขับขี่ไทยตัวจริง, ใบขับขี่สากล (IDP ปี 1968) ตัวจริง, และหนังสือเดินทาง (Passport) (บางทีอาจขอดูเอกสารการจองด้วย)
  • เจ้าหน้าที่จะอธิบายรายละเอียดสัญญาเช่า เงื่อนไขต่าง ๆ และยืนยันเรื่องประกันที่คุณเลือก
  • ชำระเงินค่าเช่าหรือวางมัดจำ (ส่วนใหญ่ใช้บัตรเครดิต)
  • จุดที่ต้องใส่ใจมาก ๆ : ก่อนรับกุญแจและขับรถออกไป ให้ “ตรวจสอบสภาพรถโดยรอบอย่างละเอียด” เดินดูว่ามีรอยขีดข่วน รอยบุบ หรือความเสียหายตรงไหนบ้างหรือไม่ ถ้าเจอ ให้แจ้งเจ้าหน้าที่และให้เขาบันทึกในเอกสารให้เรียบร้อย ถ่ายรูปหรือวิดีโอเก็บไว้เป็นหลักฐานก็ยิ่งดี (ทั้งภายนอกและภายใน)
  • สอบถามการใช้งานพื้นฐานของรถที่ไม่คุ้นเคย เช่น ตำแหน่งถังน้ำมัน วิธีเปิด ปลดล็อก, วิธีใช้ไฟหน้า ที่ปัดน้ำฝน และที่สำคัญ “วิธีตั้งค่าและใช้งานระบบนำทาง (GPS)” เช่น การเปลี่ยนภาษา การใส่ Map Code หรือเบอร์โทรศัพท์
  • ขับรถไปที่สาขาปลายทางที่คุณระบุไว้ตอนจองให้ตรงตามเวลา
  • สิ่งสำคัญที่มักจะเป็นเงื่อนไขคือ ต้องเติมน้ำมันให้ “เต็มถัง” ก่อนนำรถไปคืน เจ้าหน้าที่ที่สาขาอาจจะแนะนำปั๊มน้ำมันที่อยู่ใกล้ๆ จุดคืนรถให้
  • เจ้าหน้าที่จะตรวจสอบสภาพรถโดยรอบอีกครั้ง เพื่อดูว่ามีความเสียหายใหม่เกิดขึ้นหรือไม่
  • ชำระค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมที่อาจเกิดขึ้น เช่น ค่าน้ำมันในส่วนที่เติมไม่เต็ม (ถ้าคุณลืมเติมเต็มถัง), ค่าทางด่วนที่อาจยังไม่ได้ชำระ (ถ้าไม่ได้ใช้ ETC Pass แบบเหมา), หรือค่าเสียหายที่อยู่นอกเหนือความคุ้มครองของประกัน

การทำตามขั้นตอนเหล่านี้อย่างรอบคอบ โดยเฉพาะการตรวจสอบรถตอนรับและการทำความเข้าใจเรื่องประกัน จะช่วยให้ประสบการณ์” เช่ารถขับที่ญี่ปุ่น” ของคุณเป็นไปอย่างราบรื่นไร้กังวล

ลองจินตนาการว่าต้องขับรถในประเทศที่ไม่คุ้นเคย ไม่มีตัวช่วยนำทาง แค่คิดก็เหงื่อตกแล้วใช่ไหม? โชคดีที่รถเช่าส่วนใหญ่ในญี่ปุ่นมี “ระบบนำทาง (GPS)” ติดตั้งมาให้พร้อม นี่คือเพื่อนซี้คู่ใจของคุณบนถนนญี่ปุ่นเลย

ระบบนำทาง (GPS) ตัวช่วยสำคัญ หลงยากถ้ามีสิ่งนี้

ส่วนใหญ่แล้ว “GPS รถเช่าที่ญี่ปุ่น” มักจะมีตัวเลือกภาษาให้เราเปลี่ยนได้ ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่นิยมใช้กันในหมู่นักท่องเที่ยว แต่บางยี่ห้ออาจจะมีภาษาจีนหรือเกาหลีด้วย (ภาษาไทยยังไม่ค่อยมีให้เห็นนะ)

  • ตอนรับรถ แนะนำให้ “ขอให้เจ้าหน้าที่บริษัทรถเช่าช่วยตั้งค่าภาษา” ที่คุณถนัดให้เลย จะได้ไม่เสียเวลา
  • หรือถ้าอยากลองทำเอง มักจะเข้าไปเปลี่ยนได้ที่เมนูตั้งค่า (Settings) หรือเมนูเริ่มต้น (Initial Setup) ของเครื่อง GPS

นี่คือจุดที่อาจจะแตกต่างจาก GPS ที่คุณเคยใช้ในไทยนิดหน่อยครับ การป้อนที่อยู่เป็นภาษาญี่ปุ่นอาจจะยาก แต่เขามีวิธีที่ง่ายกว่านั้นเยอะ :

  • Map Code : คือวิธีที่ “สะดวกและแม่นยำที่สุด” สำหรับนักท่องเที่ยวเลยครับ Map Code คือรหัสตัวเลขเฉพาะสำหรับสถานที่ต่าง ๆ แทบจะทุกแห่งในญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นแหล่งท่องเที่ยว โรงแรม ร้านอาหาร หรือแม้แต่ทางเข้าเฉพาะจุด คุณสามารถหา Map Code ได้จากเว็บไซต์ต่าง ๆ เช่น แอปพลิเคชัน, หนังสือท่องเที่ยวบางเล่ม หรือเสิร์ชหาใน Google โดยพิมพ์ชื่อสถานที่ตามด้วย “Map Code”
    • วิธีใช้ : กดเมนูค้นหาจุดหมาย (Destination Search) แล้วเลือกเมนูที่ให้ใส่ Map Code (มักจะเป็นไอคอนรูปแผนที่เล็กๆ หรือมีคำว่า Map Code) จากนั้นก็พิมพ์ตัวเลข Map Code ที่ได้มา ระบบจะคำนวณเส้นทางให้ทันที
  • เบอร์โทรศัพท์ (Phone Number) : สำหรับสถานที่ที่มีเบอร์โทรศัพท์ เช่น โรงแรม ร้านค้า ร้านอาหาร สถานีรถไฟหลักๆ หรือแหล่งท่องเที่ยวบางแห่ง คุณสามารถใช้เบอร์โทรศัพท์ในการค้นหาจุดหมายปลายทางได้เลยครับ วิธีนี้ก็สะดวกมาก ๆ
    • วิธีใช้ : กดเมนูค้นหาจุดหมาย แล้วเลือกเมนูที่ให้ใส่เบอร์โทรศัพท์ (มักเป็นไอคอนรูปโทรศัพท์) จากนั้นก็พิมพ์เบอร์โทรศัพท์ของสถานที่นั้น ๆ
  • ที่อยู่ (Address) : อันนี้ไม่แนะนำสำหรับนักท่องเที่ยวที่ไม่คุ้นเคยภาษาญี่ปุ่นเท่าไหร่ เพราะต้องป้อนที่อยู่เป็นภาษาญี่ปุ่น และระบบการค้นหาอาจจะซับซ้อนกว่า Map Code หรือเบอร์โทรศัพท์

**ตรวจสอบตำแหน่งของเครื่อง GPS ว่าติดตั้งแน่นหนา ไม่บดบังทัศนวิสัยในการขับขี่ การใช้ระบบนำทางญี่ปุ่นให้คล่อง โดยเฉพาะการป้อนจุดหมายด้วย Map Code หรือเบอร์โทรศัพท์ คือกุญแจสำคัญที่จะทำให้คุณขับรถญี่ปุ่น ใช้ GPS ได้อย่างมั่นใจ ไม่ต้องกลัวหลงทางอีกต่อไป

ถ้าแผนเที่ยว “เช่ารถขับที่ญี่ปุ่น” ของคุณมีการเดินทางข้ามภูมิภาค หรือต้องใช้ถนนสายหลักที่เชื่อมระหว่างเมืองใหญ่ คุณจะต้องได้ใช้ “ทางด่วน” แน่นอน ซึ่งการใช้ทางด่วนก็ต้องมีค่าผ่านทาง หรือที่เรียกว่า “ค่าผ่านทางที่ญี่ปุ่น” นั่นเองระบบทางด่วนของญี่ปุ่นมีคุณภาพดีมาก ช่วยให้เดินทางได้รวดเร็ว แต่ค่าบริการก็เอาเรื่องอยู่เหมือนกัน ซึ่งวิธีจ่ายเงินค่าทางด่วนที่สะดวกที่สุดสำหรับนักท่องเที่ยวก็คือการใช้ ETC Card

Credit Photo : https://www.jb-honshi.co.jp

ETC ย่อมาจาก Electronic Toll Collection ครับ คิดง่ายๆ มันก็เหมือนบัตร Easy Pass หรือ M-Pass บ้านเรานั่นแหละ หลักการคือ เสียบบัตร ETC Card เข้าไปในเครื่องอ่านที่ติดอยู่ในรถเช่า เวลาขับผ่านด่านเก็บเงิน “ทางด่วนที่ญี่ปุ่น” ระบบก็จะบันทึกข้อมูลการเดินทางและตัดเงินค่าผ่านทางโดยอัตโนมัติ สำหรับนักท่องเที่ยว วิธีที่ง่ายที่สุดคือการเช่า ETC Card พร้อมกับตอนที่คุณเช่ารถ

  • ตอนจองรถเช่าญี่ปุ่นออนไลน์ หรือตอนไปรับรถที่เคาน์เตอร์ ให้แจ้งความจำนงว่าต้องการเช่า ETC Card ด้วย
  • ปกติจะมีค่าธรรมเนียมรายวันเล็กน้อยสำหรับการเช่าตัวบัตร ETC Card
  • ค่าผ่านทางที่คุณใช้ ETC Card จะถูกบันทึกไว้ทั้งหมด แล้วบริษัทรถเช่าจะมาคำนวณยอดและเรียกเก็บเงินจากคุณตอนที่คุณนำรถไปคืน
  1. ขับเข้าสู่ด่านเก็บเงิน ทางด่วน ญี่ปุ่น สังเกตช่อง ETC ซึ่งมักจะมีป้ายพื้นสีเขียว และเขียนว่า ETC อยู่ด้านบนอย่างชัดเจน
  2. ขับเข้าช่อง ETC โดยลดความเร็วลง เหลือประมาณ 20 กม./ชม. หรือช้ากว่านั้น
  3. เมื่อระบบอ่านบัตรของคุณได้เรียบร้อย ไม้กั้นก็จะเปิดออก ให้ขับผ่านไปได้เลย
  4. จะมีเสียงและข้อความ (อาจเป็นภาษาญี่ปุ่น) ที่เครื่องอ่าน ETC ในรถคอยบอกยอดค่าผ่านทางที่เพิ่งตัดไป หรือยอดสะสมให้คุณทราบด้วย

**ข้อควรระวัง ห้ามขับเข้าช่องเก็บเงินแบบเงินสดหรือบัตรเครดิต (มักเป็นพื้นสีฟ้าหรือเหลือง) หากคุณใช้ ETC Card ต้องเข้าช่อง ETC เท่านั้น

การมีรถเช่าให้ความอิสระก็จริง แต่พอไปถึงแหล่งท่องเที่ยว โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ ๆ หรือย่านช็อปปิ้ง คำถามที่ผุดขึ้นมาทันทีคือ “แล้วจะจอดตรงไหนดี?” เรื่องที่จอดรถที่ญี่ปุ่น มีระบบเฉพาะตัวนิดหน่อย มาทำความรู้จักกันเลย

  • Coin Parking (コインパーキング) : เป็นประเภทที่เจอเยอะที่สุดและนักท่องเที่ยวได้ใช้บ่อยแน่นอน เป็นลานจอดแบบบริการตัวเอง ไม่มีเจ้าหน้าที่ ส่วนใหญ่จะคิดค่าจอดรถที่ญี่ปุ่น เป็นรายชั่วโมง มีทั้งแบบที่มีเหล็กหรือแท่นกั้นขึ้นมาจากพื้นเพื่อล็อกรถ หรือแบบที่ใช้กล้องสแกนป้ายทะเบียนตอนเข้าออก พบได้ทั่วไปตามริมถนน ตรอกซอกซอย หรือใกล้สถานีรถไฟ
  • ลานจอดรถแบบอาคาร/ใต้ดิน : มักจะอยู่ในห้างสรรพสินค้า อาคารสำนักงาน หรือสถานีรถไฟใหญ่ ๆ มีทั้งแบบที่ใช้คนควบคุมและแบบอัตโนมัติ ค่าบริการอาจจะสูงหน่อยแต่สะดวก และบางทีถ้าซื้อของในห้างฯ ครบยอดที่กำหนดก็จอดฟรีได้หลายชั่วโมง
  • ที่จอดรถตามสถานที่ท่องเที่ยว : แหล่งท่องเที่ยว วัด ศาลเจ้า หรือสวนสาธารณะดังๆ มักจะมีลานจอดรถเป็นของตัวเอง บางที่เป็นแบบเหมาจ่ายต่อครั้ง บางที่คิดรายชั่วโมง
  • ที่จอดรถตามโรงแรม/ที่พัก : โรงแรมส่วนใหญ่มีที่จอดรถให้บริการ แต่ส่วนใหญ่มักจะมีค่าบริการเพิ่มเติม ควรเช็คตอนจองห้องพัก

ต้องบอกว่าในเมืองใหญ่ เช่น โตเกียว โอซาก้า เกียวโต ค่าจอดรถค่อนข้างแพง ยิ่งทำเลดี ๆ ใกล้สถานีหรือแหล่งท่องเที่ยว ค่าจอดอาจจะหลายร้อยเยนต่อชั่วโมง และค่าจอดรายวัน (Maximum Daily Rate) ก็อาจจะหลายพันเยนเลยทีเดียว โดยเฉพาะช่วงกลางวันหรือวันหยุดสุดสัปดาห์

การหาที่จอดรถ ในแหล่งท่องเที่ยว โดยเฉพาะในเมืองที่ไม่คุ้นเคย อาจต้องใช้เวลาและไหวพริบหน่อย นอกจากการใช้ GPS ช่วยหา มองหาป้าย Coin Parking หรือเช็คข้อมูลจากเว็บไซต์ของสถานที่เที่ยวนั้น ๆ แล้ว ยังมีอีกวิธีที่จะช่วยให้คุณ “หมดกังวลเรื่อง ที่จอดรถ” ไปได้เยอะมาก ๆ โดยไม่ต้องเสียเวลาวนหาหรือค้นหาเองทั้งหมด นั่นคือการใช้บริการวางแผนเที่ยวที่มีข้อมูล “พิกัดจุดจอดรถ” เตรียมไว้ให้แล้ว เช่น “Trip Japan Online” ที่ไม่ได้มีแค่บริการ “เช่ารถขับเอง” แต่ยังมีบริการ “แพลนเที่ยวที่ญี่ปุ่น” ที่จัดทำมาอย่างดี ซึ่งในแพลนเที่ยวนั้นจะ “ระบุพิกัดจุดจอดรถ” ที่สะดวกสบายและเหมาะสมไว้ให้คุณอย่างชัดเจนแล้ว

ตัดสินใจ เช่ารถขับที่ญี่ปุ่น เองดีไหม บทความนี้มีคำตอบ คลายกังวลด้วยคู่มือฉบับคนไม่เคยขับ ปี 2025

คุณแค่ขับรถไปตามเส้นทางในแพลน และป้อนพิกัดจุดจอดรถที่ให้ไว้ใน GPS ก็เดินทางไปจอดได้อย่างแม่นยำ ประหยัดเวลาและลดความเครียดในการหาที่จอดรถ ไปได้เยอะมาก ๆ ทำให้การขับรถในเมืองที่ญี่ปุ่น หรือตามแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ เป็นเรื่องง่ายขึ้นไปอีกขั้น

ขับรถเที่ยวเพลิน ๆ ก็ต้องแวะเติมพลังให้รถกันบ้าง! การเติมน้ำมันที่ญี่ปุ่น อาจจะดูแตกต่างจากบ้านเรานิดหน่อย โดยเฉพาะถ้าเจอแบบบริการตนเอง แต่ถ้าคุณรู้เรื่องชนิดน้ำมันที่ญี่ปุ่น และขั้นตอนคร่าว ๆ แล้ว ก็ทำได้สบายมาก

ตัดสินใจ เช่ารถขับที่ญี่ปุ่น เองดีไหม บทความนี้มีคำตอบ คลายกังวลด้วยคู่มือฉบับคนไม่เคยขับ ปี 2025

ก่อนอื่นเลย สำคัญมาก ๆ คือต้องรู้ว่ารถเช่าของคุณใช้ น้ำมันชนิดไหน! ปกติจะมีสติกเกอร์บอกอยู่ที่ฝาถังน้ำมัน หรือในคู่มือรถ ชนิดน้ำมันหลัก ๆ ที่ควรรู้มี 3 แบบ :

  • Regular (レギュラー – Regyurā) : น้ำมันเบนซินไร้สารตะกั่วธรรมดา “หัวจ่ายมักเป็นสีแดง” ส่วนใหญ่รถเช่าทั่วไปสำหรับนักท่องเที่ยวจะใช้ชนิดนี้
  • High Octane (ハイオク – Haioku) : น้ำมันเบนซินออกเทนสูง “หัวจ่ายมักเป็นสีเหลือง
  • Diesel (軽油 – Keiyu) : น้ำมันดีเซล “หัวจ่ายมักเป็นสีเขียว” (รถเช่าบางประเภท เช่น รถตู้ใหญ่ อาจใช้ดีเซล)
  • แบบ Full Service (フルサービス – Furu Sābisu) : มีพนักงานคอยให้บริการ เติมน้ำมัน เช็ดกระจกให้ บางทีก็เช็คยางให้ด้วย เหมาะสำหรับคนที่ไม่มั่นใจเรื่องภาษา หรืออยากได้ความสะดวกสบาย แค่ขับเข้าไป จอดตรงหัวจ่าย แล้วบอกชนิดน้ำมันกับจำนวนที่ต้องการ (เช่น レギュラー 満タン – Regyurā Mantan = เรกูลาร์ เต็มถัง)
  • แบบ Self Service (セルフサービス – Serufu Sābisu) : อันนี้เจอเยอะขึ้นเรื่อย ๆ และราคาอาจจะถูกกว่านิดหน่อย คุณต้องเติมน้ำมันเองทั้งหมด อาจจะดูซับซ้อนหน่อยตอนแรกเพราะเป็นภาษาญี่ปุ่นที่หน้าจอ แต่ถ้าเข้าใจขั้นตอนแล้วก็ง่ายนิดเดียว

แม้เราจะเตรียมตัวมาอย่างดีแล้ว ก็ยังมีโอกาสเกิดเหตุไม่คาดฝันได้เสมอครับ เช่น ยางแบน รถเสีย หรือร้ายแรงกว่านั้นคือ เกิดอุบัติเหตุที่ญี่ปุ่น แต่ไม่ต้องตกใจ! บริษัทรถเช่าและระบบช่วยเหลือในญี่ปุ่นมีไว้รองรับนักท่องเที่ยวอยู่แล้ว แค่รู้ว่าต้องทำยังไงบ้าง

กรณีเกิดอุบัติเหตุ

  • ห้ามเคลื่อนย้ายรถ หากไม่ได้กีดขวางการจราจรอย่างรุนแรง ให้รอเจ้าหน้าที่ตำรวจมาถึงที่เกิดเหตุ (เว้นแต่ตำรวจจะสั่งให้ย้าย)
  • ห้ามตกลงค่าเสียหาย หรือรับผิดชอบค่าใช้จ่ายกับคู่กรณีเอง ทุกอย่างต้องผ่านการจัดการของบริษัทประกันและตำรวจเท่านั้น
  • จดรายละเอียดของคู่กรณี (ชื่อ ที่อยู่ เบอร์ติดต่อ เลขทะเบียนรถ) และเก็บหลักฐานในที่เกิดเหตุให้มากที่สุด ถ่ายรูปความเสียหายหลาย ๆ มุม สถานที่เกิดเหตุ ป้ายถนนต่าง ๆ

กรณีรถเสียขณะขับรถ

  • ทำตามขั้นตอน “สิ่งที่ต้องทำทันที” ด้านบน (นำรถเข้าข้างทาง, เปิดไฟฉุกเฉิน)
  • โทรแจ้งบริษัทรถเช่าทันที อธิบายอาการเสีย และบอกตำแหน่งที่คุณอยู่ บริษัทรถเช่าจะประสานงานบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน หรือรถลากให้
  • หากคุณซื้อประกันเสริมที่มีบริการช่วยเหลือฉุกเฉินริมทาง (Roadside Assistance) ก็สามารถโทรแจ้งเบอร์นั้นได้เช่นกัน
ตัดสินใจ เช่ารถขับที่ญี่ปุ่น เองดีไหม บทความนี้มีคำตอบ คลายกังวลด้วยคู่มือฉบับคนไม่เคยขับ ปี 2025

ถึงแม้เราจะหวังว่าจะไม่ได้ใช้ข้อมูลในส่วนนี้เลย แต่การเตรียมตัวและรู้ว่าต้องทำยังไงเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน จะช่วยให้คุณรับมือกับสถานการณ์ยาก ๆ ได้อย่างมีสติ และคลี่คลายปัญหาได้อย่างถูกต้อง

การตัดสินใจ “เช่ารถขับที่ญี่ปุ่น” คือก้าวสำคัญที่จะมอบอิสระและประสบการณ์เที่ยวที่ยอดเยี่ยมให้คุณ แต่เราเข้าใจดีว่า การวางแผนเส้นทางขับขี่ การหาข้อมูลจุดแวะพัก หรือแม้แต่การค้นหา “ที่จอดรถญี่ปุ่น” ในแต่ละสถานที่ อาจยังคงต้องใช้เวลาและพลังงานในการเตรียมตัวไม่น้อย จะดีกว่าไหม ถ้ามีคนช่วยดูแลเรื่องเหล่านี้ให้ เพื่อให้การ “ขับรถเที่ยวญี่ปุ่น” ของคุณง่ายและราบรื่นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้?

ตัดสินใจ เช่ารถขับที่ญี่ปุ่น เองดีไหม บทความนี้มีคำตอบ คลายกังวลด้วยคู่มือฉบับคนไม่เคยขับ ปี 2025

Trip Japan Online พร้อมเป็นผู้ช่วยให้การเดินทางของคุณสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น ด้วยบริการพิเศษแพลนเที่ยวที่ญี่ปุ่น พร้อมเช่ารถ ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์นักท่องเที่ยวที่ต้องการความสะดวกสบายแบบ One Stop Service

  • เราช่วยให้การเช่ารถขับเอง หรือเช่ารถพร้อมคนขับ เป็นเรื่องง่ายไม่ต้องยุ่งยากเรื่องเอกสารหรือขั้นตอนการเช่าเอง
  • คุณสามารถเลือกยี่ห้อรถ และประเภทรถที่ตรงใจสำหรับทริปของคุณได้เลย
  • พิเศษสุดกับบริการส่งรถถึงสนามบิน ช่วยประหยัดเวลาและขั้นตอนการรับรถไปได้เยอะ
  • หมดกังวลเรื่องวางแผนเที่ยว เพราะเรามีแพลนเที่ยว ที่จัดทำมาให้อย่างดี พร้อมข้อมูลครบถ้วน และที่สำคัญคือมีพิกัดจุดจอดรถ แนบมาให้ทุกที่ที่คุณจะไป ทำให้การขับรถเที่ยวตามแพลนง่ายเหมือนปลอกกล้วย
  • เลือกระหว่างการเช่ารถขับเองเพื่ออิสระเต็มที่ หรือเช่ารถพร้อมคนขับเพื่อความผ่อนคลายสูงสุดตลอดการเดินทาง

ให้ Trip Japan Online เป็นผู้จัดการเรื่องรถเช่าและแพลนเที่ยวให้คุณ แล้วคุณก็แค่เตรียมตัวไปสนุกกับการ ขับรถเที่ยวญี่ปุ่น ได้อย่างเต็มที่ ไร้กังวล สนใจดูรายละเอียดบริการ แพลนเที่ยวที่ญี่ปุ่น พร้อมเช่ารถขับเอง หรือเช่ารถพร้อมคนขับ จาก Trip Japan Online คลิกที่นี่เลย!

ตัดสินใจ เช่ารถขับที่ญี่ปุ่น เองดีไหม บทความนี้มีคำตอบ คลายกังวลด้วยคู่มือฉบับคนไม่เคยขับ ปี 2025

แพลนเที่ยวที่ญี่ปุ่น พร้อมเช่ารถขับเอง หรือเช่ารถพร้อมคนขับ จาก Trip Japan Online คลิกที่นี่เลย!