Skip to content
Home » ครบเครื่องเรื่องเจแปน! รวม 10 สัญลักษณ์ประจำชาติญี่ปุ่น ที่คุณต้องรู้!

ครบเครื่องเรื่องเจแปน! รวม 10 สัญลักษณ์ประจำชาติญี่ปุ่น ที่คุณต้องรู้!

  • admin 
เที่ยวญี่ปุ่นให้สนุกกว่าเดิม! ทำความรู้จัก 10 สัญลักษณ์ประจำชาติญี่ปุ่น ตั้งแต่ภูเขาไฟฟูจิถึงดาบซามูไร พร้อมพิกัดและเกร็ดวัฒนธรรมที่ต้องรู้!

เวลาไปเที่ยวญี่ปุ่น เรามักจะเห็นรูปนกกระเรียนบนชุดกิโมโน, ประตูสีแดงตั้งอยู่หน้าศาลเจ้า หรือดอกไม้สีชมพูที่ปรากฏอยู่บนสินค้าแทบทุกชนิด? ภาพเหล่านี้ไม่ใช่แค่การตกแต่งเพื่อความสวยงาม แต่ทั้งหมดคือ “สัญลักษณ์ประจำชาติญี่ปุ่น” ที่มีความหมายและประวัติศาสตร์และวิถีชีวิตของผู้คนมานานหลายศตวรรษ

บทความนี้จะเป็นเหมือนไกด์นำเที่ยวทางวัฒนธรรม ที่จะพาคุณไปถอดรหัสความหมาย 10 สัญลักษณ์สำคัญที่คุณจะได้พบเจออย่างแน่นอนในการเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นภูเขาไฟฟูจิอันศักดิ์สิทธิ์, ดอกซากุระที่บาน ไปจนถึงความหมายของประตูโทริอิที่เราต้องเดินผ่านก่อนเข้าศาลเจ้า เราได้รวบรวมข้อมูลที่ “ครบเครื่อง” เข้าใจง่าย พร้อมทั้งชี้เป้าว่าคุณจะไปชมสัญลักษณ์เหล่านี้ได้ที่ไหนในญี่ปุ่น รับรองว่าเมื่ออ่านจบ ทริปญี่ปุ่นครั้งต่อไปของคุณจะไม่ได้มีแค่รูปสวย ๆ กลับมา แต่จะเต็มไปด้วยความเข้าใจ ความประทับใจ และเรื่องราวที่ลึกกว่าที่เคยสัมผัสมาอย่างแน่นอน!

ได้เวลามาทำความรู้จักกับเหล่า สัญลักษณ์ประจำชาติญี่ปุ่นจะพาไล่ดูไปทีละอย่าง รับรองว่าแต่ละอันมีเรื่องราวที่น่าสนใจและมีสถานที่จริงให้คุณไปตามรอยได้อย่างแน่นอน

ในศาสนาชินโตเชื่อว่ามีเทพธิดา “โคโนฮานาซากูยะฮิเมะ” สถิตอยู่บนภูเขาไฟฟูจิ ทำให้ที่นี่กลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับการจารึกแสวงบุญมาตั้งแต่สมัยโบราณ นอกจากนี้ รูปทรงที่สง่างามและมั่นคงของฟูจิยังเป็นตัวแทนของ ความแข็งแกร่ง, ความงามอันบริสุทธิ์ และโชคลาภ คนญี่ปุ่นเชื่อว่าการได้เห็นภูเขาไฟฟูจิอย่างชัดเจนในวันฟ้าใสถือเป็นลางดี

เที่ยวญี่ปุ่นให้สนุกกว่าเดิม ทำความรู้จัก 10 สัญลักษณ์ประจำชาติญี่ปุ่น ตั้งแต่ภูเขาไฟฟูจิถึงดาบซามูไร พร้อมพิกัดและเกร็ดวัฒนธรรมที่ต้องรู้

ถ้าพูดถึงญี่ปุ่นแล้วไม่นึกถึง “ภูเขาไฟฟูจิ” ก็คงเป็นไปไม่ได้เลย ภาพของภูเขาทรงกรวยสมมาตรที่ปกคลุมด้วยหิมะขาวบนยอด คือภาพจำที่คนทั้งโลกรู้จักกันดี แต่สำหรับคนญี่ปุ่นแล้ว ฟูจิซังเป็นมากกว่าแค่ภูเขาที่สวยงาม แต่มันคือจิตวิญญาณและเสาหลักทางวัฒนธรรมของชาติเลยทีเดียว

  • ภูเขาที่สูงที่สุด : ด้วยความสูงถึง 3,776 เมตร ทำให้ฟูจิซังครองตำแหน่งภูเขาที่สูงที่สุดในประเทศญี่ปุ่น
  • มรดกโลกทางวัฒนธรรม : ไม่ใช่แค่มรดกโลกทางธรรมชาตินะครับ แต่ UNESCO ได้ขึ้นทะเบียนฟูจิซังในฐานะ “แหล่งศักดิ์สิทธิ์และบ่อเกิดแห่งแรงบันดาลใจทางศิลปะ” สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญในเชิงวัฒนธรรมอย่างแท้จริง
  • 1 ใน 3 ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ : คนญี่ปุ่นนับถือภูเขาไฟฟูจิเป็นหนึ่งในสามภูเขาศักดิ์สิทธิ์ (三霊山 Sanreizan) ร่วมกับภูเขาทาเตยามะ (Tateyama) และภูเขาฮาคุซัง (Hakusan)

การจะเห็นคุณฟูจิแบบเต็ม ๆ ตานั้นต้องอาศัยโชคและสภาพอากาศด้วย แต่จุดยอดนิยมที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดก็คือ :

  • ทะเลสาบคาวากุจิโกะ (Kawaguchiko) : จุดชมวิวยอดฮิตตลอดกาล ที่คุณจะได้เห็นภาพภูเขาไฟฟูจิสะท้อนเงาบนผืนน้ำที่นิ่งสงบ หรือที่เรียกกันว่า “Sakasa Fuji” สวยงามจนลืมหายใจเลย
  • เจดีย์แดงชูเรโตะ (Chureito Pagoda) : ภาพโปสการ์ดในฝันของใครหลายคน! การได้เห็นเจดีย์ 5 ชั้นสีแดงสด ตัดกับภาพพื้นหลังของภูเขาไฟฟูจิ โดยเฉพาะในช่วงซากุระบานหรือใบไม้เปลี่ยนสี ถือเป็นภาพจำของญี่ปุ่น
  • ฮาโกเน่ (Hakone) : เมืองตากอากาศที่เดินทางจากโตเกียวได้ไม่ยาก คุณสามารถล่องเรือโจรสลัดในทะเลสาบอาชิ หรือขึ้นกระเช้าโอวะคุดานิเพื่อชมวิวฟูจิในมุมกว้างได้
  • บนรถไฟชินคันเซ็น : ใครที่เดินทางจากโตเกียวไปโอซาก้าหรือเกียวโต ถ้าอากาศดี ๆ คุณสามารถเห็นฟูจิได้จากหน้าต่างรถไฟเลยครับ (เคล็ดลับ: ให้นั่งฝั่งขวา หรือที่นั่ง E )

ช่วงเวลาที่ดีที่สุดคือ “ตอนเช้าตรู่ของฤดูหนาว” (ประมาณเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์) เพราะอากาศจะแห้งและท้องฟ้าใสมาก ๆ โอกาสเจอคุณฟูจิแบบไม่มีเมฆมาบดบังมีสูงที่สุด ก่อนไปอย่าลืมเช็ค Live Camera ของแต่ละพื้นที่ก่อน จะได้ไม่ไปเสียเที่ยว แถมยังช่วยให้วางแผนการเดินทางได้ดีขึ้นด้วย!”

หัวใจของซากุระคือปรัชญาที่เรียกว่า “โมะโนะ โนะ อะวะเระ” (物の哀れ – Mono no Aware) ซึ่งหมายถึง “ความซาบซึ้งในความงามของสรรพสิ่งที่ต้องร่วงโรยไป” ซากุระที่บานอย่างงดงามแล้วร่วงหล่นในเวลาอันสั้น เปรียบได้กับชีวิตของมนุษย์ที่แม้จะสวยงามแต่ก็ไม่ยั่งยืน เป็นการเตือนใจให้เราชื่นชมและใช้ชีวิตในทุกช่วงขณะให้ดีที่สุด นอกจากนี้ ซากุระยังเป็นสัญลักษณ์ของ “การเริ่มต้นใหม่” เพราะจะบานในช่วงเดือนเมษายน ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นปีการศึกษาและปีงบประมาณใหม่ของญี่ปุ่นนั่นเอง

ทริปในฝันของใครหลายคนคือการได้ไปยืนอยู่ท่ามกลางอุโมงค์ซากุระสีชมพูที่บานสวยงาม ดอกไม้ชนิดนี้ไม่ได้เป็นเพียงสัญลักษณ์ของฤดูใบไม้ผลิเท่านั้น แต่ยังเป็นหัวใจสำคัญที่สะท้อนแนวคิดและปรัชญาการใช้ชีวิตของคนญี่ปุ่น

  • ดอกไม้ (อย่างไม่เป็นทางการ) ประจำชาติ : แม้ดอกเบญจมาศจะเป็นตราสัญลักษณ์ของราชวงศ์ แต่หากถามคนทั่วไป ทั้งชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติก็มักจะตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าซากุระคือดอกไม้ประจำชาติในใจของพวกเขา
  • หลากหลายสายพันธุ์ : รู้ไหมครับว่าซากุระในญี่ปุ่นมีมากกว่า 200 สายพันธุ์! แต่สายพันธุ์ที่พบเห็นได้บ่อยที่สุดคือ “โซเมอิ โยชิโนะ” (Somei Yoshino) ที่มีกลีบดอกสีชมพูอ่อนเกือบขาว
  • ช่วงเวลาอันแสนสั้น : ไฮไลท์สำคัญของซากุระคือการบานเต็มที่ (Full Bloom) ซึ่งจะมีระยะเวลาเพียงแค่ 1-2 สัปดาห์เท่านั้น ก่อนที่สายลมจะพัดพาให้กลีบดอกร่วงโรยไป

ซากุระสามารถพบเห็นได้ทั่วประเทศญี่ปุ่น แต่จุดชมซากุระ (Hanami Spot) ที่มีชื่อเสียงและสวยงามจับใจนั้นมีอยู่มากมาย เช่น :

  • สวนอุเอโนะ (Ueno Park) : หนึ่งในจุดชมซากุระที่เก่าแก่และโด่งดังที่สุด มีต้นซากุระเรียงรายกว่า 1,000 ต้น บรรยากาศคึกคักมากครับ
  • ชินจูกุเกียวเอน (Shinjuku Gyoen) : สวนสวยใจกลางเมืองที่มีซากุระหลากหลายสายพันธุ์ ทำให้บานไล่เลี่ยกันและชมได้นานกว่าที่อื่น
  • จิโดริกะฟุจิ (Chidorigafuchi) : กิจกรรมยอดฮิตคือการพายเรือในคูน้ำรอบพระราชวังอิมพีเรียล ลอดอุโมงค์ซากุระที่โน้มกิ่งลงมา บอกเลยว่าโรแมนติกสุด ๆ
  • เส้นทางนักปราชญ์ (Philosopher’s Path) : ทางเดินเลียบคลองเล็กๆ ที่มีต้นซากุระเรียงรายตลอดเส้นทาง บรรยากาศเงียบสงบและงดงามมาก
  • อาราชิยามะ (Arashiyama) : ชมซากุระบริเวณสะพานโทเง็ตสึเคียวและริมแม่น้ำ เป็นภาพที่สวยงามราวกับภาพวาด
  • สวนปราสาทโอซาก้า (Osaka Castle Park) : การชมดอกซากุระโดยมีฉากหลังเป็นปราสาทโอซาก้าอันยิ่งใหญ่ เป็นภาพที่คลาสสิกและน่าประทับใจ

การไปชมซากุระให้ตรงช่วงเวลาบานเต็มที่เป็นเรื่องสำคัญที่สุด สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือการเช็ค “พยากรณ์ซากุระ (Sakura Forecast)” ซึ่งจะประกาศช่วงปลายปีและอัปเดตเรื่อย ๆ เพราะแต่ละปีจะบานไม่ตรงกัน และจะเริ่มบานจากทางใต้ขึ้นไปทางเหนือ ส่วนกิจกรรมที่ผมอยากให้ลองทำคือ “ฮานามิ” หรือการปิกนิกใต้ต้นซากุระ ลองหาซื้อข้าวกล่องเบนโตะอร่อย ๆ จากชั้นใต้ดินของห้าง (Depachika) แล้วไปนั่งชิลล์ ๆ ในสวนสาธารณะดูสิครับ จะได้สัมผัสบรรยากาศแบบคนญี่ปุ่นแท้ ๆ เลย!

หัวใจของความเชื่อนี้คือ “การเปลี่ยนผ่านสู่ความศักดิ์สิทธิ์” การเดินลอดผ่านประตูโทริอิเปรียบเสมือนการชำระล้างร่างกายและจิตใจให้บริสุทธิ์ก่อนเข้าไปในเขตของเทพเจ้า เป็นการแสดงความเคารพและเตรียมพร้อมที่จะเข้าเฝ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นจึงมีธรรมเนียมปฏิบัติเล็ก ๆ น้อย ๆ เกิดขึ้น เช่น การโค้งคำนับ 1 ครั้งก่อนเดินผ่าน และการไม่เดินผ่านตรงกลางประตู เพราะเชื่อว่าทางเดินตรงกลางนั้นสงวนไว้สำหรับเทพเจ้าเท่านั้น

เที่ยวญี่ปุ่นให้สนุกกว่าเดิม ทำความรู้จัก 10 สัญลักษณ์ประจำชาติญี่ปุ่น ตั้งแต่ภูเขาไฟฟูจิถึงดาบซามูไร พร้อมพิกัดและเกร็ดวัฒนธรรมที่ต้องรู้

เชื่อว่าภาพของเสาสีแดง 2 ต้นที่มีคานพาดอยู่ด้านบน ต้องเป็นภาพที่เพื่อน ๆ คุ้นตาอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะจากการ์ตูน, ภาพยนตร์ หรือภาพถ่ายโปรโมทการท่องเที่ยวญี่ปุ่น ประตูนี้มีชื่อเรียกว่า “โทริอิ” และมันไม่ใช่แค่ซุ้มประตูธรรมดา ๆ แต่เป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญอย่างยิ่งในศาสนาชินโต ซึ่งเป็นศาสนาดั้งเดิมของญี่ปุ่น

  • ประตูสู่ศาลเจ้า : ประตูโทริอิจะถูกตั้งไว้บริเวณทางเข้าศาลเจ้าชินโตเสมอ เพื่อเป็นสัญลักษณ์แบ่งเขตแดนระหว่างโลกมนุษย์ที่วุ่นวาย กับพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์อันเป็นที่สถิตของเทพเจ้า (Kami)
  • สีแดงแห่งการปกป้อง : แม้เราจะเห็นโทริอิที่ทำจากไม้หรือหินสีธรรมชาติบ้าง แต่ส่วนใหญ่แล้วมักจะทาด้วยสีแดงชาด (朱色 – Shu-iro) เพราะคนญี่ปุ่นเชื่อว่าสีแดงเป็นสีที่ทรงพลัง สามารถปัดเป่าวิญญาณชั่วร้ายและสิ่งอัปมงคลต่าง ๆ ได้
  • ไม่ใช่ของวัด : หลายคนอาจสับสน แต่ประตูโทริอิจะอยู่หน้า “ศาลเจ้าชินโต” เท่านั้นครับ ถ้าเป็น “วัดพุทธ” ประตูทางเข้าจะมีลักษณะต่างออกไปและเรียกว่า “ซัมมง” (Sanmon)

ประตูโทริอิมีอยู่ทั่วประเทศญี่ปุ่นนับแสนแห่ง แต่มีบางที่ที่โดดเด่นและกลายเป็นแลนด์มาร์คระดับโลกไปแล้ว :

  • ศาลเจ้าฟูชิมิ อินาริ, เกียวโต (Fushimi Inari Shrine, Kyoto) : ที่สุดของที่สุด! กับภาพอุโมงค์ประตูโทริอิสีแดงนับหมื่นต้นที่เรียงรายทอดยาวขึ้นไปบนภูเขาอินาริ ประตูเหล่านี้มาจากการบริจาคของบุคคลและบริษัทที่มาขอพรแล้วประสบความสำเร็จ เป็นภาพที่น่าทึ่งและทรงพลังมาก ๆ
  • ศาลเจ้าอิทสึคุชิมะ, เกาะมิยาจิมะ (Itsukushima Shrine, Miyajima) : ภาพของ “โทริอิลอยน้ำ” ขนาดมหึมาที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางทะเล คือหนึ่งในสามทิวทัศน์ที่สวยที่สุดของญี่ปุ่น (Nihon Sankei) ในช่วงที่น้ำขึ้นสูง ประตูจะดูเหมือนลอยอยู่บนผิวน้ำอย่างน่าอัศจรรย์
  • ศาลเจ้าฮาโกเน่, ฮาโกเน่ (Hakone Shrine) : จุดถ่ายรูปมหาชนกับ “โทริอิแห่งสันติภาพ” ที่ตั้งอยู่ในทะเลสาบอาชิ (Lake Ashi) การได้ถ่ายภาพโดยมีประตูโทริอิสีแดงสดตัดกับสีฟ้าของทะเลสาบและสีเขียวของภูเขา เป็นอะไรที่สวยงามลงตัวมาก
  • ศาลเจ้าเมจิ, โตเกียว (Meiji Jingu, Tokyo) : หากอยากเห็นโทริอิในรูปแบบอื่น ต้องมาที่นี่ครับ ประตูโทริอิของศาลเจ้าเมจิทำจากไม้สนไซเปรสขนาดมหึมา ไม่มีการทาสีแดง ทำให้ดูขรึมขลังและยิ่งใหญ่ไปอีกแบบ

“เคล็ดลับเล็ก ๆ ที่จะทำให้การเที่ยวศาลเจ้าของคุณดูโปรและแสดงถึงความเคารพในวัฒนธรรมของเขา คือ “มารยาทในการผ่านประตูโทริอิ” ก่อนจะเดินผ่าน ให้หยุดโค้งคำนับเล็กน้อย 1 ครั้ง และพยายามเดินชิดทางซ้ายหรือขวาแทนการเดินตรงกลาง พอไหว้เทพเจ้าเสร็จแล้วเดินกลับออกมา เมื่อผ่านประตูโทริอิอีกครั้ง ให้หันหน้ากลับไปทางศาลเจ้าแล้วโค้งคำนับอีก 1 ครั้ง เป็นการแสดงความขอบคุณ แค่นี้คุณก็จะดูเหมือนคนที่เข้าใจวัฒนธรรมญี่ปุ่นอย่างแท้จริงเลย!”

หัวใจของความเชื่อนี้มาจากสำนวนที่ว่า “สึรุ วะ เซ็นเน็น, คาเมะ วะ มันเน็น” (鶴は千年、亀は万年) ซึ่งแปลว่า “นกกระเรียนมีอายุพันปี เต่ามีอายุหมื่นปี” ด้วยเหตุนี้ นกกระเรียนจึงกลายเป็นสัญลักษณ์สำคัญของ “ชีวิตที่ยืนยาวและสุขภาพที่แข็งแรง” นอกจากนี้ ด้วยนิสัยที่รักเดียวใจเดียวของมัน นกกระเรียนยังเป็นสัญลักษณ์ของ “ชีวิตคู่ที่มีความสุขและยืนยาว” เราจึงมักเห็นลวดลายนกกระเรียนปรากฏอยู่บนชุดกิโมโนสำหรับแต่งงาน (Uchikake) หรือของชำร่วยในพิธีมงคลต่างๆ อีกหนึ่งความเชื่อที่โด่งดังไปทั่วโลกก็คือ “เซ็นบะซึรุ” (千羽鶴) หรือการพับนกกระเรียนกระดาษให้ครบ 1,000 ตัว โดยเชื่อว่าผู้ที่ทำสำเร็จจะได้รับพรให้สมปรารถนา 1 ข้อ ไม่ว่าจะเป็นการหายจากอาการเจ็บป่วย หรือการมีชีวิตที่ยืนยาว

หากเพื่อน ๆ เคยเห็นภาพศิลปะญี่ปุ่น ชุดกิโมโนสวย ๆ หรือแม้กระทั่งโลโก้ของสายการบินแห่งชาติ จะต้องเคยผ่านตานกขนาดใหญ่คอยาวสง่างามที่มีแต้มสีแดงบนหัวอย่างแน่นอน เจ้านกชนิดนี้คือ “นกกระเรียนมงกุฎแดง” (Red-crowned crane) ซึ่งคนญี่ปุ่นเรียกว่า “ทันโจ” (Tancho) และยกย่องให้เป็นสัญลักษณ์มงคลที่สำคัญยิ่งชนิดหนึ่งเลย

  • นกศักดิ์สิทธิ์ : นกกระเรียนเป็นสัตว์ที่ได้รับการคุ้มครองเป็นพิเศษในญี่ปุ่น และถือเป็นอนุสรณ์ทางธรรมชาติของชาติ
  • รักเดียวใจเดียว : ธรรมชาติของนกกระเรียนจะจับคู่เพียงครั้งเดียวและอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิต ทำให้มันกลายเป็นตัวแทนของความรักที่ซื่อสัตย์และมั่นคง
  • ระบำแห่งความรัก : ในฤดูหนาว นกกระเรียนจะมีการเต้นรำเกี้ยวพาราสีที่ดูสง่างามและอ่อนช้อย ซึ่งเป็นภาพที่น่าประทับใจและดึงดูดช่างภาพจากทั่วโลก

การจะเจอนกกระเรียนนั้นมี 2 รูปแบบครับ คือการไปดูตัวจริง กับการชมในรูปแบบของสัญลักษณ์ :

  • ชมนกกระเรียนตัวเป็น ๆ :
    • อุทยานแห่งชาติคุชิโระ ชิสึเง็น, ฮอกไกโด (Kushiro Shitsugen National Park, Hokkaido) : ในช่วงฤดูหนาว (ประมาณเดือน ธ.ค. – ก.พ.) นกกระเรียนจำนวนมากจะมารวมตัวกันที่ศูนย์อนุรักษ์และจุดให้อาหาร เช่นที่ Tsurui Village เป็นภาพที่งดงามและน่าอัศจรรย์ใจมากครับ
  • ชมในรูปแบบสัญลักษณ์ :
    • อนุสรณ์สันติภาพเด็ก, ฮิโรชิมะ (Children’s Peace Monument, Hiroshima) : ที่นี่เราจะเห็นพวงนกกระเรียนกระดาษ (เซ็นบะซึรุ) นับล้านๆ ตัว ที่ผู้คนจากทั่วโลกส่งมาเพื่อรำลึกถึงเหยื่อจากระเบิดปรมาณู เป็นภาพที่ทรงพลังและสะเทือนใจ
    • บนชุดกิโมโนและผ้าต่าง ๆ : โดยเฉพาะในงานแต่งงาน หรือตามร้านเช่าชุดกิโมโน ลองสังเกตลายผ้าสวยๆ ดูนะครับ
    • ของฝากและของที่ระลึ ก: ตั้งแต่ตะเกียบ, ผ้าเช็ดหน้า, พัด ไปจนถึงเครื่องปั้นดินเผา ล้วนมีลวดลายนกกระเรียนให้เห็นอยู่เสมอ

“สำหรับใครที่ไม่ได้มีแพลนไปฮอกไกโด ผมมีเคล็ดลับง่าย ๆ ในการนำโชคดีกลับบ้าน เวลาไปเดินเลือกซื้อของฝาก ลองมองหาสินค้าที่มีลวดลายนกกระเรียนดูสิ มันไม่ใช่แค่ของที่ระลึกที่สวยงาม แต่ยังเป็นเหมือน “เครื่องราง” ที่มีความหมายดี ๆ เหมาะอย่างยิ่งที่จะซื้อไปฝากผู้ใหญ่ที่เราเคารพ หรือคู่รัก เพื่อเป็นการอวยพรให้พวกเขามีสุขภาพแข็งแรงและมีชีวิตคู่ที่ยืนยาวครับ เป็นของฝากที่ลึกซึ้งกว่าที่ตาเห็นจริง ๆ”

จากตำนานการว่ายทวนน้ำตกเพื่อกลายเป็นมังกรนี่เองครับ ที่ทำให้ปลาคาร์ปกลายเป็นสุดยอดสัญลักษณ์ของ “ความแข็งแกร่ง, ความกล้าหาญ, และความพากเพียรพยายาม” ที่จะเอาชนะอุปสรรคทั้งปวงเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายและความสำเร็จในชีวิต ด้วยเหตุนี้ คนญี่ปุ่นจึงยกให้ปลาคาร์ปเป็นสัญลักษณ์ที่เชื่อมโยงกับ “เด็กผู้ชาย” โดยหวังว่าลูกชายของตนจะเติบโตขึ้นมาเป็นคนที่แข็งแรงและไม่ย่อท้อต่อความยากลำบาก ไฮไลท์สำคัญที่สุดที่เชื่อมโยงกับความเชื่อนี้ก็คือ “โค่ยโนโบริ” (鯉のぼり) หรือธงปลาคาร์ปหลากสีสัน ที่ชาวญี่ปุ่นจะนำมาประดับไว้นอกบ้านในช่วงเทศกาลวันเด็ก พ่อแม่จะแขวนธงปลาคาร์ปตัวใหญ่ที่สุด (สีดำ) แทนตัวคุณพ่อ, ตัวรองลงมา (สีแดง) แทนคุณแม่ และตัวเล็ก ๆ สีอื่น ๆ แทนลูก ๆ เพื่อเป็นการอวยพรให้เด็ก ๆ ในบ้านมีสุขภาพที่แข็งแรงและประสบความสำเร็จในอนาคต

เที่ยวญี่ปุ่นให้สนุกกว่าเดิม ทำความรู้จัก 10 สัญลักษณ์ประจำชาติญี่ปุ่น ตั้งแต่ภูเขาไฟฟูจิถึงดาบซามูไร พร้อมพิกัดและเกร็ดวัฒนธรรมที่ต้องรู้

ปลาคาร์ป หรือที่คนญี่ปุ่นเรียกอย่างเจาะจงว่า “นิชิคิโก่ย” (Nishikigoi) คือปลาคาร์ปแฟนซีที่มีสีสันสวยงามสดใส ไม่ว่าจะเป็นสีขาว แดง ดำ หรือเหลืองทองอร่าม เรามักจะเห็นพวกมันแหวกว่ายอย่างสง่างามอยู่ในสระน้ำของสวนญี่ปุ่น วัด หรือปราสาทต่าง ๆ แต่ความสำคัญของปลาชนิดนี้มีอะไรที่มากกว่าความสวยงามภายนอกเยอะเลย

  • อัญมณีมีชีวิต : ด้วยสีสันและลวดลายที่สวยงามโดดเด่น ทำให้ปลาคาร์ปนิชิคิโก่ยได้รับการขนานนามว่าเป็น “อัญมณีมีชีวิตที่แหวกว่ายได้”
  • ตำนานมังกร : ความเชื่อเกี่ยวกับปลาคาร์ปนั้นมีรากฐานมาจากตำนานเก่าแก่ของจีน ที่เล่าถึงปลาคาร์ปผู้กล้าหาญที่สามารถว่ายทวนกระแสน้ำตกแห่งประตูมังกรได้สำเร็จ และแปลงกายเป็นมังกรในที่สุด
  • วันเด็กผู้ชาย : ปลาคาร์ปมีความผูกพันอย่างยิ่งกับเทศกาลเด็กผู้ชาย (ปัจจุบันคือวันเด็ก) ในวันที่ 5 พฤษภาคมของทุกปี
  • ชมธงปลาคาร์ป “โค่ยโนโบริ”:
    • ทั่วประเทศญี่ปุ่น: หากคุณไปเที่ยวในช่วงปลายเดือนเมษายนถึงต้นเดือนพฤษภาคม จะเห็นธงปลาคาร์ปโบกสะบัดอยู่ตามบ้านเรือนและสถานที่ต่างๆ
    • เทศกาลใหญ่ๆ: หลายเมืองจะจัดเทศกาลแขวนธงปลาคาร์ปนับร้อยนับพันตัวข้ามแม่น้ำ เป็นภาพที่สวยงามอลังการมาก เช่น ที่โตเกียวทาวเวอร์ (Tokyo Tower) หรือเทศกาล Koinobori no Sato ในจังหวัดกุนมะ
  • ชมปลาคาร์ปตัวจริง:
    • สวนญี่ปุ่นทุกแห่ง: เรียกว่าเป็นของที่ต้องมีคู่กันเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นสวนเค็นโรคุเอ็น (Kenrokuen) ที่คานาซาวะ, สวนชินจูกุเกียวเอน (Shinjuku Gyoen) ในโตเกียว หรือสระน้ำในวัดและปราสาทต่างๆ ล้วนมีปลาคาร์ปสีสวยๆ แหวกว่ายให้เราชมเสมอ
    • พิพิธภัณฑ์ศิลปะอาดาจิ (Adachi Museum of Art): ขึ้นชื่อว่ามีสวนญี่ปุ่นที่สวยงามที่สุดในประเทศ และแน่นอนว่าสระปลาคาร์ปของที่นี่ก็สวยงามไร้ที่ติเช่นกัน

ถ้าทริปของคุณตรงกับช่วง Golden Week (ปลายเมษา – ต้นพฤษภา) พอดี ขอแนะนำให้ลองหาสถานที่จัดงานเทศกาลโค่ยโนโบริใกล้ ๆ ที่พักดูนะครับ มันเป็นภาพที่หาชมได้แค่ปีละครั้งและเป็นประสบการณ์ทางวัฒนธรรมที่มีชีวิตชีวามาก ๆ แต่สำหรับคนที่ไปช่วงอื่นเวลาไปเที่ยวสวนญี่ปุ่น อย่าแค่เดินผ่านสระปลาคาร์ป ลองซื้ออาหารปลา (ส่วนใหญ่จะมีขาย) แล้วโปรยให้พวกมันดู การได้เห็นฝูงปลาสีสวย ๆ มารุมล้อม เป็นความสุขเล็ก ๆ ที่ช่วยให้เราผ่อนคลายและรู้สึกเชื่อมต่อกับสถานที่นั้น ๆ ได้มากขึ้นจริง ๆ

หัวใจสำคัญของธงฮิโนะมะรุคือ “ดวงอาทิตย์” ซึ่งผูกพันกับตำนานและชื่อของประเทศญี่ปุ่นอย่างแยกไม่ออก ชื่อ “ประเทศญี่ปุ่น” ในภาษาญี่ปุ่นคือ “นิฮง” หรือ “นิปปง” (日本) ซึ่งตัวอักษรคันจิสองตัวนี้แปลว่า “ต้นกำเนิดแห่งพระอาทิตย์” นี่จึงเป็นที่มาของสมญานามที่เรารู้จักกันดีว่า “ดินแดนแห่งอาทิตย์อุทัย” ความเชื่อนี้สืบย้อนไปได้ถึงเทพปกรณัมชินโต ที่เชื่อว่าสมเด็จพระจักรพรรดิญี่ปุ่นทรงสืบเชื้อสายมาจาก “เทพีอามาเตราสึ โอมิคามิ” (Amaterasu Omikami) ซึ่งเป็นเทพีแห่งดวงอาทิตย์ผู้ยิ่งใหญ่ ดังนั้นวงกลมสีแดงบนผืนธงจึงไม่ใช่แค่ดวงอาทิตย์ธรรมดา แต่เป็นตัวแทนของเทพผู้พิทักษ์และเป็นต้นกำเนิดของชาติญี่ปุ่นนั่นเอง

ธงชาติญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในธงชาติที่โดดเด่นและจดจำง่ายที่สุดในโลก ด้วยดีไซน์ที่เรียบง่ายแต่แฝงไปด้วยความหมายอันลึกซึ้ง พื้นธงสี่เหลี่ยมสีขาวบริสุทธิ์ที่มีวงกลมสีแดงสดอยู่ตรงกลางนี้ ไม่ได้เป็นเพียงผ้าผืนหนึ่ง แต่เป็นตัวแทนของชื่อประเทศและตำนานการก่อตั้งชาติที่สืบทอดกันมานับพันปีเลย

  • ชื่อที่เป็นทางการ : จริง ๆ แล้วธงชาติญี่ปุ่นมีชื่อทางการว่า “นิชโชกิ” (Nisshōki – 日章旗) ซึ่งแปลว่า “ธงแห่งพระอาทิตย์”
  • ชื่อที่เรียกกันทั่วไป : แต่คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะเรียกธงชาติของตนเองอย่างคุ้นเคยว่า “ฮิโนะมะรุ” (Hinomaru – 日の丸) ซึ่งมีความหมายตรงตัวว่า “วงกลมแห่งพระอาทิตย์”
  • ดีไซน์และความหมาย : พื้นสีขาวสื่อถึงความบริสุทธิ์และความซื่อสัตย์ ในขณะที่วงกลมสีแดงหมายถึงดวงอาทิตย์
  • กฎหมายรับรอง : แม้จะมีการใช้ธงนี้มานานหลายร้อยปี แต่ธงฮิโนะมะรุก็เพิ่งได้รับการรับรองให้เป็นธงชาติอย่างเป็นทางการตามกฎหมายเมื่อปี 1999 นี่เอง
  • ตามอาคารสถานที่ราชการ : เช่น ที่ว่าการเขต, ศาลากลางจังหวัด และโรงเรียนต่างๆ
  • ในวันหยุดราชการ : หากทริปของคุณตรงกับวันหยุดนักขัตฤกษ์ของญี่ปุ่น ลองสังเกตตามบ้านเรือนและร้านค้าต่างๆ จะมีการประดับธงฮิโนะมะรุไว้ที่หน้าบ้าน
  • การแข่งขันกีฬา : เป็นภาพที่เห็นได้บ่อยในการแข่งขันกีฬาระดับชาติ เช่น ซูโม่, เบสบอล หรือการแข่งขันกีฬาระดับนานาชาติที่ญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพหรือเข้าร่วม
  • ข้าวกล่องเบนโตะ! : สิ่งนี้อาจจะน่าแปลกใจ แต่เป็นวัฒนธรรมที่น่ารักมากครับ ข้าวกล่องแบบง่ายๆ ที่มีข้าวสวยสีขาวและมีบ๊วยดองสีแดง (Umeboshi) วางไว้ตรงกลางหนึ่งเม็ด จะถูกเรียกว่า “ฮิโนะมะรุเบนโตะ” เพราะดูเหมือนธงชาติญี่ปุ่นไม่มีผิด

ถ้าอยากสัมผัสสัญลักษณ์นี้แบบเข้าถึงวิถีชีวิตคนญี่ปุ่นจริง ๆ แนะนำให้ลองหา “ฮิโนะมะรุเบนโตะ” ทานดู! หาซื้อได้ง่ายมาก ๆ ตามร้านสะดวกซื้อทั่วไป มันเป็นอาหารกลางวันที่เรียบง่ายที่สุด แต่ก็เป็นวิธีที่น่ารักที่สุดในการได้ลิ้มรสสัญลักษณ์ของชาติเขาเลย นอกจากนี้ถ้าคุณเห็นคนญี่ปุ่นกำลังเชียร์กีฬาโดยใช้ผ้าคาดหัวสีขาวที่มีวงกลมสีแดงตรงกลาง ผ้าคาดหัวนั้นเรียกว่า “ฮะจิมากิ” (Hachimaki) ซึ่งก็ได้รับแรงบันดาลใจมาจากธงฮิโนะมะรุเช่นกัน เป็นการแสดงถึงจิตวิญญาณการต่อสู้และความมุ่งมั่น

ดอกเบญจมาศในวัฒนธรรมตะวันออกเป็นตัวแทนของ “ความมีอายุยืนยาว, ความสูงส่ง และความเยาว์วัย” แต่สำหรับราชวงศ์ญี่ปุ่นแล้วมีความหมายที่ลึกซึ้งกว่านั้น ดีไซน์ของดอกเบญจมาศ 16 กลีบที่แผ่ออกมาจากศูนย์กลางนั้น ถูกเปรียบเปรยว่าเป็นดั่ง “รัศมีของดวงอาทิตย์” ซึ่งเป็นการเชื่อมโยงสถานะขององค์จักรพรรดิเข้ากับเทพีแห่งดวงอาทิตย์ “อามาเตราสึ โอมิคามิ” อีกครั้ง เช่นเดียวกับธงฮิโนะมะรุ ตรานี้จึงไม่ใช่แค่สัญลักษณ์ของดอกไม้ที่สวยงาม แต่เป็นการตอกย้ำถึงที่มาอันศักดิ์สิทธิ์ของราชวงศ์ที่สืบทอดต่อเนื่องกันมาอย่างยาวนานนับพันปี

เที่ยวญี่ปุ่นให้สนุกกว่าเดิม ทำความรู้จัก 10 สัญลักษณ์ประจำชาติญี่ปุ่น ตั้งแต่ภูเขาไฟฟูจิถึงดาบซามูไร พร้อมพิกัดและเกร็ดวัฒนธรรมที่ต้องรู้

หากธงฮิโนะมะรุคือตัวแทนของประเทศญี่ปุ่น ตราดอกเบญจมาศ หรือ “คิคุโนะโกะมง” (Kiku no Gomon) ก็คือสัญลักษณ์แทนองค์สมเด็จพระจักรพรรดิและพระราชวงศ์โดยตรง ตราสัญลักษณ์นี้มีความศักดิ์สิทธิ์และได้รับการนับถืออย่างสูงสุด และเราจะไม่ได้เห็นตรานี้ประดับอยู่ตามสถานที่ทั่วไป

  • ดอกไม้ประจำราชวงศ์ : ดอกเบญจมาศ หรือ “คิคุ” (Kiku) ในภาษาญี่ปุ่น คือดอกไม้ประจำชาติและเป็นสัญลักษณ์ของจักรพรรดิ
  • ดีไซน์ 16 กลีบ : ตราจักรพรรดิที่สมบูรณ์แบบที่สุด จะเป็นรูปดอกเบญจมาศสีทองที่มีกลีบดอก 16 กลีบซ้อนกันสองชั้น โดยเราจะเห็นกลีบชั้นหน้าเต็ม 16 กลีบ และปลายกลีบชั้นหลังโผล่มาให้เห็นอีก 16 แฉก
  • สงวนใช้เฉพาะจักรพรรดิ : การใช้ตราสัญลักษณ์นี้ถูกจำกัดอย่างเข้มงวด บุคคลทั่วไปหรือหน่วยงานที่ไม่เกี่ยวข้องไม่สามารถนำไปใช้ได้ ตรานี้จึงเปรียบเสมือนตราแผ่นดินของญี่ปุ่นโดยพฤตินัย

ในฐานะนักท่องเที่ยว เราอาจจะไม่ได้เห็นตราสัญลักษณ์นี้บ่อยนัก แต่ก็มีบางสถานที่และบางสิ่งที่เราสามารถพบเห็นได้ :

  • ปกหนังสือเดินทางญี่ปุ่น : นี่คือจุดที่คนญี่ปุ่นคุ้นเคยกับตรานี้มากที่สุด บนปกพาสปอร์ตสีแดงเลือดหมูของญี่ปุ่นจะมีตราดอกเบญจมาศ 16 กลีบประทับอยู่อย่างสง่างาม
  • บริเวณพระราชวังอิมพีเรียล : หากคุณไปเยือนบริเวณพระราชวังอิมพีเรียลในโตเกียว ลองสังเกตที่ประตูรั้วหรือสิ่งปลูกสร้างสำคัญต่างๆ จะมีตราสัญลักษณ์นี้ประดับอยู่
  • ศาลเจ้าบางแห่ง : ศาลเจ้าชินโตที่มีความเกี่ยวข้องกับราชวงศ์อย่างใกล้ชิด เช่น ศาลเจ้าเมจิ (Meiji Jingu) ในโตเกียว ซึ่งสร้างอุทิศถวายแด่สมเด็จพระจักรพรรดิเมจิ ก็จะมีการประดับตรานี้ไว้ตามโคมไฟหรือประตูเช่นกัน
  • เหรียญ 50 เยน : ลองหยิบเหรียญ 50 เยนขึ้นมาดูสิครับ! ตรงกลางของเหรียญจะมีรูปดอกเบญจมาศอยู่ ซึ่งก็คือดอกไม้ประจำราชวงศ์นี้นี่เอง

เคล็ดลับที่ง่ายที่สุดในการสัมผัส “สัญลักษณ์ประจำชาติญี่ปุ่น” นี้คือ ลองดูเหรียญ 50 เยนในกระเป๋าของคุณ! มันเป็นวิธีที่เราจะได้เห็นและสัมผัสตราดอกเบญจมาศได้อย่างใกล้ชิดที่สุด และถ้ามีโอกาสได้ไปศาลเจ้าเมจิในโตเกียว อยากให้ลองใช้เวลาเดินสังเกตดีเทลเล็ก ๆ น้อย ๆ ตามโคมไฟหรือบานประตูดูครับ การได้เห็นตรา “คิคุโนะโกะมง” ด้วยตาตัวเองในสถานที่จริง จะทำให้เรารู้สึกถึงความขลังและความสำคัญของสถานที่นั้น ๆ มากขึ้นทันที แต่ต้องจำไว้ว่านี่เป็นสัญลักษณ์ที่สูงส่งมาก เราจึงแทบจะไม่เห็นตรานี้บนของฝากหรือสินค้าทั่วไปเลยครับ

กิโมโนเป็นสัญลักษณ์ของ “ความสง่างาม, มารยาท, และการให้เกียรติโอกาสพิเศษ” ในชีวิตของคนญี่ปุ่น ชุดกิโมโนจะถูกเลือกใส่ในวาระสำคัญต่างๆ ของชีวิตเพื่อเฉลิมฉลองและแสดงถึงการก้าวผ่านช่วงวัย เช่น :

  • ชิจิโกะซัง (Shichi-Go-San) : พิธีฉลองการเจริญเติบโตของเด็กอายุ 3, 5, และ 7 ขวบ
  • พิธีบรรลุนิติภาวะ (Seijin no Hi) : หญิงสาวอายุ 20 ปีจะสวมกิโมโนแขนยาวที่สวยงามที่สุดที่เรียกว่า “ฟุริโซเดะ”
  • พิธีจบการศึกษา และ พิธีแต่งงาน : ถือเป็นโอกาสสำคัญที่ผู้คนจะสวมชุดกิโมโนที่ถูกต้องตามธรรมเนียม

ดังนั้นกิโมโนจึงเป็นมากกว่าเสื้อผ้า แต่เป็นเครื่องบันทึกความทรงจำและเป็นสัญลักษณ์ของการสืบทอดวัฒนธรรมอันงดงามของญี่ปุ่น

เมื่อพูดถึงการแต่งกายแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม ภาพของ “ชุดกิโมโน” ที่สง่างาม พร้อมกับผ้าคาดเอว “โอบิ” ที่ผูกเป็นรูปทรงต่าง ๆ คงเป็นภาพแรกที่ทุกคนนึกถึง กิโมโนไม่ใช่แค่เครื่องแต่งกายประจำชาติที่สวยงามเท่านั้น แต่มันยังเป็นผืนผ้าที่บันทึกเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ บ่งบอกสถานะทางสังคม และสะท้อนถึงศิลปะงานฝีมือชั้นสูงของญี่ปุ่นที่สืบทอดกันมารุ่นสู่รุ่น

  • ความหมายตรงตัว : คำว่า “กิโมโน” (着物) มีความหมายเรียบง่ายว่า “สิ่งที่ใช้สวมใส่” (着 Ki = สวมใส่, 物 Mono = สิ่งของ) ซึ่งในอดีตเคยใช้เรียกเสื้อผ้าโดยทั่วไป
  • กฎการใส่ที่สำคัญ : กิโมโนมีวิธีการใส่ที่ตายตัว คือต้องสาบเสื้อ “ด้านซ้ายทับด้านขวา” เสมอ! การใส่สลับด้าน (ขวาทับซ้าย) จะใช้สำหรับผู้เสียชีวิตที่บรรจุในโลงเท่านั้น ถือเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ๆ
  • กิโมโน vs ยูกาตะ : นักท่องเที่ยวหลายคนมักสับสน “ยูกาตะ” (Yukata) คือกิโมโนลำลองที่ทำจากผ้าฝ้าย เนื้อผ้าบางเบา มีชั้นเดียว เหมาะกับใส่ในฤดูร้อนหรืองานเทศกาล หรือที่พักแบบเรียวกัง ส่วน “กิโมโน” จะมีความเป็นทางการมากกว่า มักทำจากผ้าไหม มีหลายชั้น และมีกรรมวิธีการใส่ที่ซับซ้อนกว่า
  • ตามร้านเช่าชุดในย่านเมืองเก่า : นี่คือวิธีที่นักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสประสบการณ์ใส่กิโมโนที่ง่ายที่สุด ย่านยอดนิยมได้แก่ :
    • กิออน, เกียวโต (Gion, Kyoto) : เดินชมย่านเกอิชาในชุดกิโมโน เป็นกิจกรรมยอดฮิต
    • อาซากุสะ, โตเกียว (Asakusa, Tokyo) : ใส่กิโมโนเดินเที่ยวชมวัดเซ็นโซจิและถ่ายรูปกับโคมแดงยักษ์
    • คาวาโกเอะ, ไซตามะ (Kawagoe, Saitama) : เมืองเก่าที่ได้รับฉายาว่า “ลิตเติ้ลเอโดะ” เหมาะกับการใส่กิโมโนเดินเล่นมาก
  • ในงานเทศกาลต่าง ๆ (Matsuri) : โดยเฉพาะเทศกาลฤดูร้อนและงานดอกไม้ไฟ ผู้คนนิยมใส่ชุดยูกาตะสีสันสดใสไปเดินเที่ยวกัน
  • ที่พักแบบเรียวกัง (Ryokan) : ที่พักแบบดั้งเดิมส่วนใหญ่จะมีชุดยูกาตะเตรียมไว้ให้แขกสำหรับใส่เดินเล่นในที่พักหรือไปแช่ออนเซ็น

ถ้ามีโอกาส เชียร์สุดใจให้ลองเช่าชุดกิโมโนใส่เดินเที่ยวดูสักครั้ง โดยเฉพาะที่เกียวโต การได้เดินชมเมืองเก่าในชุดแบบนี้เป็นประสบการณ์ที่พิเศษจริงๆ และทำให้เราได้รูปสวยๆ กลับมาเป็นที่ระลึกเพียบเลย! ควรจองร้านเช่าล่วงหน้าผ่านช่องทางออนไลน์ โดยเฉพาะช่วงพีคอย่างฤดูซากุระหรือใบไม้เปลี่ยนสี เพราะร้านดัง ๆ มักจะเต็มเร็วมาก การจองล่วงหน้ายังช่วยให้เราได้ราคาที่ดีกว่าและมีแบบให้เลือกเยอะกว่าด้วย ลองดูนะ แล้วคุณจะตกหลุมรักญี่ปุ่นมากขึ้นไปอีก!

ดาบคาตานะเป็นมากกว่าอาวุธ แต่เป็นตัวแทนของปรัชญา “บูชิโด” (武士道 – The Way of the Warrior) ซึ่งเป็นหลักปฏิบัติของซามูไรที่เน้นย้ำถึงคุณธรรม 7 ประการ ได้แก่ ความยุติธรรม, ความกล้าหาญ, ความเมตตา, ความเคารพ, ความซื่อสัตย์, เกียรติยศ, และความจงรักภักดี การตีดาบแต่ละเล่มถือเป็นพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ ช่างตีดาบจะทุ่มเททั้งกายและใจเพื่อสร้างสรรค์ดาบที่สมบูรณ์แบบที่สุด ดังนั้น ดาบคาตานะจึงเป็นสัญลักษณ์ของ “ความสมบูรณ์แบบ, ความมีระเบียบวินัย, และสมาธิอันแน่วแน่” เป็นงานศิลปะชั้นสูงที่ผสมผสานศาสตร์แห่งการต่อสู้และความงามเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว

เที่ยวญี่ปุ่นให้สนุกกว่าเดิม ทำความรู้จัก 10 สัญลักษณ์ประจำชาติญี่ปุ่น ตั้งแต่ภูเขาไฟฟูจิถึงดาบซามูไร พร้อมพิกัดและเกร็ดวัฒนธรรมที่ต้องรู้

ดาบคาตานะที่มีใบดาบโค้งงอนเป็นเอกลักษณ์ คือภาพจำของซามูไรที่คนทั้งโลกรู้จัก มันไม่ใช่เป็นเพียงอาวุธที่ใช้ในการต่อสู้ แต่สำหรับเหล่านักรบแล้ว ดาบคือชีวิต คือเกียรติยศ และเป็นสัญลักษณ์ที่สะท้อนถึงวิถีแห่งนักรบที่เรียกว่า “บูชิโด” ได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด

  • จิตวิญญาณของซามูไร : มีคำกล่าวอมตะว่า “ดาบคือจิตวิญญาณของซามูไร” (武士の魂 – Bushi no tamashii) ซึ่งแสดงให้เห็นว่าดาบมีความสำคัญเทียบเท่ากับชีวิตของพวกเขาเลยทีเดียว
  • ดาบคู่ ไดโช : ตามธรรมเนียมแล้ว ซามูไรจะพกดาบคู่ที่เรียกว่า “ไดโช” (大小) ซึ่งประกอบด้วยดาบยาว “คาตานะ” (Katana) สำหรับการต่อสู้ในที่โล่ง และดาบสั้น “วากิซาชิ” (Wakizashi) สำหรับการต่อสู้ในที่แคบหรือใช้ป้องกันตัว
  • ศิลปะบนใบดาบ : ความงามของดาบซามูไรอยู่ที่ “ฮามง” (Hamon) หรือลวดลายคลื่นบนคมดาบ ซึ่งเกิดจากกระบวนการเผาและชุบแข็งใบดาบที่ซับซ้อน ดาบแต่ละเล่มจึงมีลวดลายฮามงที่ไม่ซ้ำกัน เปรียบเสมือนลายนิ้วมือของดาบเล่มนั้น ๆ

การได้เห็นดาบคาตานะของจริงที่สืบทอดมาหลายร้อยปีเป็นประสบการณ์ที่น่าทึ่งมากครับ สถานที่แนะนำคือ :

  • พิพิธภัณฑ์ดาบญี่ปุ่น, โตเกียว (The Japanese Sword Museum, Tokyo) : ที่นี่คือที่สุดสำหรับคนรักดาบซามูไร เป็นสถานที่รวบรวมและจัดแสดงดาบในฐานะงานศิลปะโดยเฉพาะ คุณจะได้เห็นดาบในตำนานมากมายอย่างใกล้ชิด
  • ตามปราสาทต่างๆ ทั่วญี่ปุ่น : ปราสาทส่วนใหญ่ เช่น ปราสาทฮิเมจิ, ปราสาทโอซาก้า, หรือปราสาทมัตสึโมโตะ มักจะมีโซนจัดแสดงชุดเกราะและอาวุธของซามูไร ซึ่งคุณจะได้เห็นดาบคาตานะในบริบททางประวัติศาสตร์จริง ๆ
  • พิพิธภัณฑ์แห่งชาติโตเกียว (Tokyo National Museum) : หนึ่งในพิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่และดีที่สุดของญี่ปุ่น มีโซนจัดแสดงดาบซามูไรที่น่าตื่นตาตื่นใจ
  • ร้านขายของที่ระลึก (สำหรับดาบจำลอง) : ในย่านท่องเที่ยวอย่างเกียวโตหรือโตเกียว จะมีร้านที่ขายดาบคาตานะจำลองสำหรับเป็นของประดับตกแต่ง ซึ่งมีความสวยงามและปราณีตมาก

สำหรับคนที่สนใจเรื่องนี้จริง ๆ แนะนำให้ไปเยือน พิพิธภัณฑ์ดาบญี่ปุ่น (The Japanese Sword Museum) ในโตเกียวเลย รับรองว่าคุณจะทึ่งในความงามและรายละเอียดของดาบแต่ละเล่มจนลืมเวลาไปเลย แต่ถ้าอยากได้ของฝากที่มีจิตวิญญาณของช่างฝีมือญี่ปุ่นกลับบ้าน มีไอเดียที่ใช้ได้จริงและสะดวกกว่าการซื้อดาบจำลอง (ซึ่งอาจมีปัญหาตอนผ่านศุลกากร) นั่นคือ “มีดทำครัวญี่ปุ่น” ! มีดทำครัวคุณภาพสูงของญี่ปุ่นจำนวนมากผลิตขึ้นในเมืองที่มีชื่อเสียงด้านการตีดาบ (เช่น เมืองเซกิ) และใช้เทคนิคการตีเหล็กที่สืบทอดกันมา มันเป็นวิธีที่ดีในการนำความคมกริบ และจิตวิญญาณของช่างฝีมือกลับไปใช้ในครัวที่บ้านของคุณ!

ศาลเจ้าชินโตคือสัญลักษณ์ของ “ความกลมเกลียวระหว่างมนุษย์, ธรรมชาติ, และทวยเทพ” ศาสนาชินโตให้ความเคารพต่อธรรมชาติอย่างสูง เราจึงมักเห็นศาลเจ้าเก่าแก่ตั้งอยู่ในป่าใหญ่หรือบนภูเขาสูง เพราะเชื่อว่าที่เหล่านั้นคือที่สถิตของเทพเจ้า ศาลเจ้ายังเป็นสถานที่สำหรับ “การเฉลิมฉลองแห่งชีวิต” คนญี่ปุ่นจะไปศาลเจ้าเพื่อขอพรให้ประสบความสำเร็จในเรื่องต่างๆ เช่น ขอพรให้คลอดลูกปลอดภัย, ฉลองการเจริญเติบโตของเด็ก, ขอพรให้สอบผ่าน, ขอให้ธุรกิจรุ่งเรือง หรือแม้แต่การจัดพิธีแต่งงาน ซึ่งแตกต่างจากวัดพุทธที่มักจะเกี่ยวข้องกับพิธีศพมากกว่า

ไม่ว่าคุณจะไปเยือนเมืองใหญ่ที่ทันสมัยหรือหมู่บ้านเล็ก ๆ ในชนบท คุณจะได้พบกับ “ศาลเจ้าชินโต” ตั้งอยู่อย่างกลมกลืนในทุกพื้นที่ ศาลเจ้าไม่ใช่เป็นเพียงสิ่งปลูกสร้างที่สวยงาม แต่เป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่คนญี่ปุ่นผูกพันด้วยอย่างลึกซึ้ง เป็นสถานที่ที่พวกเขาจะไปขอพรในวาระสำคัญต่าง ๆ ของชีวิต ตั้งแต่เกิดจนเติบใหญ่ เป็นบ้านของเทพเจ้าผู้คุ้มครองชุมชน และเป็นประตูเชื่อมระหว่างโลกมนุษย์กับโลกแห่งจิตวิญญาณ

  • บ้านของเทพเจ้า : ศาลเจ้าชินโต หรือ “จินจะ” (Jinja) ในภาษาญี่ปุ่น คือสถานที่สถิตของ “คามิ” (Kami) หรือเทพเจ้าตามความเชื่อชินโต ซึ่งอาจเป็นเทพเจ้าแห่งธรรมชาติ (ภูเขา, แม่น้ำ, สายลม) หรือดวงวิญญาณของบรรพบุรุษผู้ยิ่งใหญ่
  • ศาลเจ้า vs วัด : นี่คือข้อแตกต่างที่สำคัญ! “ศาลเจ้าชินโต” จะมีประตูโทริอิอยู่ด้านหน้าเสมอ ส่วน “วัดพุทธ” (Tera – 寺) จะมีประตูขนาดใหญ่ที่เรียกว่า “ซัมมง” และมักจะมีสุสานตั้งอยู่บริเวณวัด
  • องค์ประกอบสำคัญ : เมื่อไปศาลเจ้า เราจะเห็นองค์ประกอบคล้ายๆ กัน เช่น ประตูโทริอิ, รูปปั้นสุนัขสิงโตผู้พิทักษ์ “โคมะอินุ”, บ่อน้ำสำหรับชำระล้าง “เทะมิสุยะ”, และอาคารสำหรับสักการะ “ไฮเด็น”

ศาลเจ้ามีอยู่ทั่วญี่ปุ่นนับแสนแห่ง แต่ศาลเจ้าที่มีชื่อเสียงและมีความสำคัญระดับประเทศที่นักท่องเที่ยวควรไปเยือนสักครั้ง ได้แก่ :

  • ศาลเจ้าเมจิ, โตเกียว (Meiji Jingu, Tokyo) : อุทิศถวายแด่สมเด็จพระจักรพรรดิเมจิ เป็นศาลเจ้าที่สงบร่มรื่นด้วยผืนป่าขนาดใหญ่ใจกลางกรุงโตเกียว
  • ศาลเจ้าฟูชิมิ อินาริ, เกียวโต (Fushimi Inari Taisha, Kyoto) : โด่งดังจากอุโมงค์ประตูโทริอินับหมื่นต้น อุทิศแด่เทพอินาริ เทพแห่งการเก็บเกี่ยวและธุรกิจ
  • ศาลเจ้าใหญ่แห่งอิเสะ, มิเอะ (Ise Grand Shrine, Mie) : ศาลเจ้าที่ศักดิ์สิทธิ์และสำคัญที่สุดในญี่ปุ่น เป็นที่สถิตของเทพีแห่งดวงอาทิตย์ อามาเตราสึ โอมิคามิ
  • ศาลเจ้าอิทสึคุชิมะ, เกาะมิยาจิมะ (Itsukushima Shrine, Miyajima) : มีชื่อเสียงจากภาพประตูโทริอิลอยน้ำที่งดงามจนติดอันดับ 1 ใน 3 สุดยอดทิวทัศน์ของญี่ปุ่น

การไปเยือนศาลเจ้าจะสมบูรณ์และมีความหมายมากขึ้นถ้าเรารู้วิธีการสักการะอย่างถูกต้อง เรามีขั้นตอนง่าย ๆ มาฝาก :

  • โค้ง 2 ครั้ง > ปรบมือ 2 ครั้ง > พนมมืออธิษฐาน > โค้งอีก 1 ครั้งการทำตามขั้นตอนนี้ไม่เพียงแต่แสดงความเคารพ แต่ยังทำให้เรารู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมอันงดงามของเขาจริง ๆ
  • โค้งคำนับ 1 ครั้ง ที่หน้าประตูโทริอิ
  • ไปที่บ่อน้ำ “เทะมิสุยะ” เพื่อชำระล้าง ใช้กระบวยตักน้ำ > ล้างมือซ้าย > ล้างมือขวา > เทน้ำใส่มือซ้ายเพื่อบ้วนปาก (ห้ามให้กระบวยโดนปาก) > ล้างมือซ้ายอีกครั้ง > ยกกระบวยขึ้นตรงเพื่อให้น้ำที่เหลือไหลล้างด้ามจับ > วางกระบวยคืนที่เดิม
  • เดินไปที่อาคารสักการะ โยนเหรียญทำบุญ (นิยมใช้เหรียญ 5 เยน เพราะพ้องเสียงกับคำว่า “โชคดี”)
  • สั่นกระดิ่ง (ถ้ามี)
  • ถาม : สัตว์ประจำชาติของญี่ปุ่นคืออะไร?
    • ตอบ : ญี่ปุ่นมีสัตว์ประจำชาติ 3 ชนิด คือ นกกระเรียนญี่ปุ่น (ความโชคดี), ปลาคาร์ปโค่ย (ความแข็งแกร่ง) และนกกระทาเขียว (Green Pheasant) ซึ่งเป็นนกประจำชาติอย่างเป็นทางการ
  • ถาม : นอกจากซากุระแล้ว ญี่ปุ่นมีดอกไม้ประจำชาติอีกไหม?
    • ตอบ : มีครับ! คือ “ดอกเบญจมาศ” (Kiku) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของราชวงศ์ญี่ปุ่นและปรากฏอยู่บนตราแผ่นดินและปกพาสปอร์ตของญี่ปุ่นด้วย
  • ถาม : ทำไมศาลเจ้าญี่ปุ่นส่วนใหญ่ต้องเป็นสีแดงหรือสีส้ม?
    • ตอบ : สีแดง (朱色 – Shu-iro) ในศาสนาชินโตเชื่อว่าเป็นสีที่ช่วยปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายและภัยพิบัติครับ นอกจากนี้ยังเป็นสีที่แสดงถึงชีวิตและความอุดมสมบูรณ์อีกด้วย

และทั้งหมดนี้ก็คือ 10 สัญลักษณ์ประจำชาติญี่ปุ่น ที่เราได้พาไปรู้จักกัน จะเห็นได้ว่าแต่ละอย่างนั้นไม่ได้เป็นเพียงภาพที่สวยงาม แต่เต็มไปด้วยเรื่องราว ประวัติศาสตร์ และปรัชญาที่สะท้อนตัวตนของญี่ปุ่น การได้รู้ความหมายที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง จะทำให้การเดินทางครั้งต่อไปของคุณไม่ใช่แค่การไป “เห็น” แต่เป็นการไป “เข้าใจ”

ครั้งต่อไปที่คุณเดินผ่านประตูโทริอิ, เห็นปลาคาร์ปแหวกว่ายในสระน้ำ หรือจิบชาพลางชมภูเขาไฟฟูจิ เราหวังว่าคุณจะนึกถึงเรื่องราวเหล่านี้ การท่องเที่ยวของคุณจะมีความหมายและน่าจดจำขึ้นอีกหลายเท่าตัวเลย

อยากลองไปสัมผัส “สัญลักษณ์ประจำชาติญี่ปุ่น” เหล่านี้ด้วยตาตัวเอง แต่ยังไม่รู้จะเริ่มวางแผนทริปที่ใช่สำหรับคุณยังไง? ให้ Trip Japan Online ช่วยดูแลและออกแบบการเดินทางที่จะทำให้คุณตกหลุมรักญี่ปุ่นยิ่งกว่าเดิม!