ญี่ปุ่น ดินแดนแห่งวัฒนธรรมอันงดงาม ธรรมชาติที่หลากหลาย และเทคโนโลยีล้ำสมัย ยังคงเป็นจุดหมายปลายทางในฝันของใครหลายคน แต่การวางแผนเที่ยวญี่ปุ่นให้คุ้มค่าในเวลาจำกัด อาจเป็นเรื่องที่ชวนปวดหัว บทความนี้ จึงได้รวบรวมแพลน”เที่ยวญี่ปุ่น 7 วัน 6 คืน” ปี 2025 ที่อัดแน่นไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยว, กิจกรรม และอาหาร ที่จะทำให้คุณสัมผัสเสน่ห์ของญี่ปุ่นได้อย่างครบรส ไม่ว่าจะเป็น วัดวาอาราม, ปราสาท, ธรรมชาติ, ช้อปปิ้ง และวัฒนธรรม

ทำไมต้องเที่ยวญี่ปุ่น ?
ประเทศญี่ปุ่นมีเสน่ห์ที่แตกต่างจากที่อื่น ๆ ซึ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมาเยือนอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นภูมิทัศน์ธรรมชาติที่สวยงาม วัฒนธรรมที่เอกลักษณ์ หรือเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำ เรามาดูกันว่าทำไมญี่ปุ่นจึงกลายเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมที่ควรไปเยือนสักครั้ง
วัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ : ญี่ปุ่นเป็นที่รู้จักในเรื่องวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ ไม่ว่าจะเป็นวัดวาอารามที่งดงาม เช่น วัดคิโยมิซุเดระ วัดอาซากุสะ หรือศาลเจ้าเมจิ การแต่งกายแบบดั้งเดิมอย่างชุดกิโมโน และพิธีชงชาที่สง่างาม ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงประเพณีและมรดกทางวัฒนธรรมของญี่ปุ่นที่ได้รับการสืบทอดกันมาอย่างยาวนาน
ธรรมชาติที่งดงาม : ประเทศญี่ปุ่นมีภูมิทัศน์ธรรมชาติที่หลากหลาย ตั้งแต่ภูเขาไฟฟูจิที่เป็นสัญลักษณ์ของประเทศ ทะเลสาบใสสะอาด และทุ่งดอกไม้ที่บานสะพรั่งในแต่ละฤดู ดอกซากุระที่ผลิบานในฤดูใบไม้ผลิและใบไม้เปลี่ยนสีในฤดูใบไม้ร่วงล้วนสร้างภาพความทรงจำที่งดงามแก่ผู้มาเยือน
อาหารอร่อย : อาหารญี่ปุ่นมีชื่อเสียงไปทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นซูชิที่สดใหม่ ราเมนรสชาติเข้มข้น เทมปุระที่กรอบนอกนุ่มใน หรือขนมญี่ปุ่นอย่างโมจิและดันโกะ แต่ละเมนูมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ควรลิ้มลอง
ผู้คนที่เป็นมิตร : ชาวญี่ปุ่นมีชื่อเสียงในเรื่องความสุภาพและมีน้ำใจ พวกเขายินดีต้อนรับนักท่องเที่ยวด้วยไมตรีจิตและพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือในทุกสถานการณ์
การเดินทางสะดวกสบาย : ญี่ปุ่นมีระบบขนส่งสาธารณะที่ยอดเยี่ยมและตรงเวลา เช่น รถไฟชินคันเซ็นที่เชื่อมต่อระหว่างเมืองใหญ่ รถไฟใต้ดินที่ครอบคลุมทุกมุมเมือง และรถบัสที่สามารถพาคุณไปยังสถานที่ท่องเที่ยวที่ห่างไกลได้อย่างสะดวกสบาย
เตรียมตัวก่อนไปญี่ปุ่น
การเตรียมตัวก่อนเดินทางไปญี่ปุ่นเป็นเรื่องสำคัญที่จะช่วยให้คุณเดินทางได้อย่างราบรื่นและสนุกสนาน นี่คือสิ่งที่คุณต้องรู้

1. วีซ่า
สำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทย ญี่ปุ่นอนุญาตให้พำนักได้ไม่เกิน 15 วันโดยไม่ต้องขอวีซ่า (ยกเว้นผู้ที่ถือหนังสือเดินทางทูต ราชการ และชั่วคราว) สิ่งที่ควรเตรียมให้พร้อมก่อนเดินทางคือเอกสารที่จำเป็น เช่น หนังสือเดินทางที่มีอายุการใช้งานเหลืออย่างน้อย 6 เดือน และใบจองโรงแรมและตั๋วเครื่องบินสำหรับการตรวจคนเข้าเมือง

2. ตั๋วเครื่องบิน
มีสายการบินหลายแห่งที่ให้บริการเที่ยวบินตรงไปยังญี่ปุ่น เช่น การบินไทย (Thai Airways), ANA, JAL และสายการบินต้นทุนต่ำ เช่น AirAsia และ Scoot การจองตั๋วล่วงหน้าเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการประหยัดค่าใช้จ่าย และการเลือกเที่ยวบินที่ตรงกับเวลาที่ต้องการจะทำให้การเดินทางสะดวกยิ่งขึ้น

3. ที่พัก
ที่พักในญี่ปุ่นมีหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่โรงแรมหรูในเมืองใหญ่ไปจนถึงเรียวกังแบบดั้งเดิมในเกียวโตหรือหมู่บ้านเล็ก ๆ ในชนบท นักท่องเที่ยวสามารถเลือกที่พักตามความสะดวกและงบประมาณ
Tips: ควรจองที่พักล่วงหน้า โดยเฉพาะในช่วงฤดูใบไม้ผลิและใบไม้ร่วงที่นักท่องเที่ยวแห่กันไปชมดอกซากุระและใบไม้เปลี่ยนสี นอกจากนี้ ควรเลือกที่พักใกล้สถานีรถไฟหรือรถไฟใต้ดินเพื่อความสะดวกในการเดินทาง

4. Pocket Wifi
และซิมการ์ด
อินเทอร์เน็ตเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเดินทางในยุคนี้ คุณสามารถเช่า Pocket Wifi ได้ที่สนามบินหรือจองล่วงหน้าออนไลน์เพื่อรับที่สนามบิน นอกจากนี้ ซิมการ์ดสำหรับนักท่องเที่ยวก็เป็นอีกตัวเลือกที่ดี โดยเฉพาะหากคุณต้องการใช้อินเทอร์เน็ตสำหรับการค้นหาข้อมูลและแผนที่

5. แอปพลิเคชัน
ที่ควรมี
การใช้งานแอปพลิเคชัน
จะช่วยให้การเดินทางสะดวกขึ้น
Google Maps:
สำหรับการนำทางและค้นหาสถานที่
Hyperdia:
ใช้ตรวจสอบเส้นทางรถไฟและตารางเวลา
Google Translate:
สำหรับการแปลภาษาญี่ปุ่น
Klook/KKday:
สำหรับการจองตั๋วและกิจกรรมในราคาพิเศษ

6. สกุลเงิน
สกุลเงินของญี่ปุ่นคือ เยน (JPY) ควรแลกเงินเยนก่อนเดินทาง หรือใช้บัตรเครดิตและบัตรเดบิตที่สามารถกดเงินสดจากตู้ ATM ได้ในญี่ปุ่น ตู้ ATM ที่สะดวกและปลอดภัยมักจะมีอยู่ตามร้านสะดวกซื้อ เช่น 7-Eleven และ FamilyMart
แพลน”เที่ยวญี่ปุ่น 7 วัน 6 คืน”ปี 2025
ทริป 7 วัน 6 คืนจะครอบคลุมสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญในโตเกียว, นิกโก้, เกียวโต, นารา และโอซาก้า แพลนนี้ถูกออกแบบมาให้คุ้มค่าและสนุกสนาน เดินทางไม่ไกลกันมาก
วันที่ 1 : สัมผัสโตเกียว
เช้า : เดินทางถึงสนามบินนาริตะหรือฮาเนดะในโตเกียว หลังจากผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองและรับกระเป๋า คุณสามารถซื้อตั๋วรถไฟ Narita Express หรือรถบัสเข้าเมืองได้ ระบบขนส่งที่สะดวกสบายและรวดเร็วจะช่วยให้คุณเริ่มต้นการเดินทางได้อย่างดี

เย็น : ชมวิวเมืองโตเกียวจาก Tokyo Metropolitan Government Building ที่มีจุดชมวิวฟรี หรือไปชมแสงไฟในยามค่ำคืนจาก Tokyo Tower ที่มีมุมมองที่สวยงาม

บ่าย : เช็คอินที่โรงแรมในย่าน ชินจูกุ (Shinjuku) ซึ่งเป็นย่านที่คึกคักที่สุดในโตเกียว คุณสามารถเดินเล่นที่ สวนสาธารณะชินจูกุเงียวเอน (Shinjuku Gyoen National Garden) ที่เงียบสงบ หรือสำรวจห้างสรรพสินค้าและร้านอาหารที่หลากหลาย

วันที่ 2 : ตะลุยโลกแห่งแฟชั่นที่ฮาราจูกุ
เช้า : เริ่มต้นวันด้วยการเดินทางไปยังย่าน ฮาราจูกุ (Harajuku) ซึ่งเป็นแหล่งรวมแฟชั่น วัฒนธรรมวัยรุ่น และร้านค้าแนวสตรีท เดินเล่นที่ ถนนทาเคชิตะ (Takeshita Street) เพื่อชมร้านค้าและถ่ายรูปกับเหล่า Cosplayer ที่แต่งกายแฟนซี

เย็น : เดินทางไปยังย่าน ชิบูย่า (Shibuya) ถ่ายรูปกับ Shibuya Crossing แยกที่คึกคักที่สุดในโลก และแวะรูปปั้นสุนัข ฮาจิโกะ (Hachiko) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความซื่อสัตย์และมิตรภาพ

บ่าย : เข้าชม ศาลเจ้าเมจิจิงกู (Meiji Jingu Shrine) ซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางป่าเขียวขจี ศาลเจ้าแห่งนี้เป็นที่นิยมสำหรับการขอพรและสัมผัสบรรยากาศที่สงบเงียบ

วันที่ 3 : ย้อนเวลาสู่ยุคเอโดะที่นิกโก้
เช้า : เดินทางไปยัง นิกโก้ (Nikko) เมืองที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก การเดินทางไปนิกโก้ใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงจากโตเกียว สามารถนั่งรถไฟสาย JR ไปยังสถานี Tobu-Nikko

เย็น : เดินเล่นรอบ ทะเลสาบชูเซ็นจิ (Lake Chuzenji) ซึ่งตั้งอยู่ที่เชิงภูเขาไฟนันไต ชมวิวธรรมชาติที่งดงาม โดยเฉพาะในฤดูใบไม้ร่วงที่ใบไม้เปลี่ยนสี

บ่าย : เข้าชม ศาลเจ้าโทโชกุ (Toshogu Shrine) ศาลเจ้าที่สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับโทกุงาวะ อิเอยาสุ โชกุนคนแรกของญี่ปุ่น ที่นี่คุณจะพบกับสถาปัตยกรรมที่สวยงามและประติมากรรมแกะสลักที่มีรายละเอียดน่าทึ่ง เช่น รูปปั้นลิงสามตัวอันโด่งดัง

วันที่ 4 : หลงเสน่ห์เกียวโต
เช้า : เดินทางไปยัง เกียวโต (Kyoto) ด้วยรถไฟชินคันเซ็น การเดินทางด้วยชินคันเซ็นเป็นประสบการณ์ที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเยือนญี่ปุ่น

เย็น : เดินเล่นในย่าน กิออน (Gion) ซึ่งเป็นย่านเกอิชา ชมบ้านไม้ดั้งเดิมและอาจได้เห็นเกอิชาในชุดกิโมโนเดินผ่านไปมา สัมผัสบรรยากาศแบบญี่ปุ่นโบราณและทานอาหารค่ำในร้านอาหารที่มีเสน่ห์

บ่าย : เที่ยวชม วัดคิโยมิซุเดระ (Kiyomizu-dera Temple) หรือวัดน้ำใส วัดพุทธที่ตั้งอยู่บนเนินเขาและมีวิวทิวทัศน์ที่สวยงามของเมืองเกียวโต ที่นี่เป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่มีชื่อเสียง และนักท่องเที่ยวสามารถเดินเล่นบริเวณถนนคนเดินที่เต็มไปด้วยร้านค้าและของที่ระลึก

วันที่ 5 : สัมผัสวัฒนธรรมที่นารา
เช้า : เดินทางไป นารา (Nara) เมืองเก่าแก่ที่เป็นที่ตั้งของวัดวาอารามสำคัญและสวนสาธารณะที่เต็มไปด้วยกวาง

เย็น : เดินเล่นที่ สวนสาธารณะนารา (Nara Park) ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของกวางหลายร้อยตัว กวางในสวนแห่งนี้ถือเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์และเชื่องมาก คุณสามารถซื้อเซ็มเบ้ (ขนมปังกรอบ) เพื่อให้อาหารกวางและถ่ายรูปน่ารัก ๆ กับพวกมัน

บ่าย : เยี่ยมชม วัดโทไดจิ (Todai-ji Temple) วัดพุทธที่มีพระใหญ่ไดบุตสึ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปสำริดที่ใหญ่ที่สุดในโลก วัดแห่งนี้มีสถาปัตยกรรมที่ยิ่งใหญ่และเป็นหนึ่งในมรดกโลกที่สำคัญ

วันที่ 6 : ช้อปปิ้งจุใจที่โอซาก้า
เช้า : เดินทางไปยัง โอซาก้า (Osaka) เมืองที่มีชีวิตชีวาและเป็นแหล่งรวมอาหารอร่อยที่สุดในญี่ปุ่น

เย็น : ช้อปปิ้งที่ย่าน ชินไซบาชิ (Shinsaibashi) และ โดทงโบริ (Dotonbori) ซึ่งเต็มไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร และแสงไฟที่สว่างไสวในยามค่ำคืน ลิ้มลองอาหารท้องถิ่น เช่น ทาโกะยากิ และโอโคโนมิยากิ

บ่าย : เยี่ยมชม ปราสาทโอซาก้า (Osaka Castle) ซึ่งมีประวัติศาสตร์ยาวนานและเป็นสัญลักษณ์ของเมือง นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปชมวิวจากด้านบนของปราสาทได้

วันที่ 7 : วันกลับบ้าน
เช้า: เก็บของและเช็คเอาท์จากที่พัก เดินทางไปยัง สนามบินคันไซ (Kansai International Airport) เพื่อขึ้นเครื่องกลับประเทศไทย


บ่าย : เดินทางกลับพร้อมความทรงจำที่ประทับใจและของฝากจากญี่ปุ่น
5 เคล็ดลับ : เที่ยวญี่ปุ่นให้สนุก”เที่ยวญี่ปุ่น 7 วัน 6 คืน”
- ศึกษาข้อมูลล่วงหน้า : รู้จักสถานที่ที่คุณจะไป วัฒนธรรม และคำศัพท์ภาษาญี่ปุ่นเบื้องต้น เช่น สวัสดี (こんにちは – Konnichiwa) ขอบคุณ (ありがとう – Arigatou)
- ใช้ Google Maps : แอปพลิเคชันนี้จะช่วยในการนำทาง ค้นหาร้านอาหาร และสถานที่ท่องเที่ยวได้อย่างแม่นยำ
- ลองชิมอาหารท้องถิ่น : อย่าพลาดเมนูยอดนิยม เช่น ซูชิ, ราเมน, เทมปุระ และขนมญี่ปุ่นต่าง ๆ
- เคารพวัฒนธรรม : ญี่ปุ่นมีมารยาทและประเพณีที่ต้องปฏิบัติตาม เช่น การถอดรองเท้าก่อนเข้าบ้านหรือวัด และการไม่ส่งเสียงดังในรถไฟ
- เตรียมตัวให้พร้อม : พกเสื้อผ้าให้เหมาะกับสภาพอากาศ และเตรียมอุปกรณ์เสริม เช่น ร่มหรือหมวกกันแดด
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

- ไปญี่ปุ่นช่วงไหนดี ?
- ฤดูใบไม้ผลิ (มี.ค. – พ.ค.) : ชมดอกซากุระบานสะพรั่ง
- ฤดูร้อน (มิ.ย. – ส.ค.) : เพลิดเพลินกับเทศกาลฤดูร้อนและดอกไม้ไฟ
- ฤดูใบไม้ร่วง (ก.ย. – พ.ย.) : ชมใบไม้เปลี่ยนสีที่งดงาม
- ฤดูหนาว (ธ.ค. – ก.พ.) : สนุกกับหิมะและกิจกรรมหน้าหนาว เช่น การเล่นสกี
- ค่าใช้จ่ายในการเที่ยวญี่ปุ่นประมาณเท่าไหร่?
ค่าใช้จ่ายขึ้นอยู่กับรูปแบบการท่องเที่ยวและที่พัก แต่โดยทั่วไปสำหรับทริปนี้ อาจอยู่ที่ประมาณ 30,000 – 50,000 บาท (ไม่รวมค่าตั๋วเครื่องบิน) ซึ่งรวมค่าอาหาร ที่พัก และค่าเดินทางในประเทศ - ภาษาอังกฤษในญี่ปุ่นใช้ได้ไหม?
ในเมืองใหญ่ เช่น โตเกียวและโอซาก้า สามารถใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารได้ในระดับหนึ่ง แต่ในเมืองเล็ก ๆ อาจต้องใช้ภาษาญี่ปุ่นพื้นฐาน ดังนั้นการเรียนรู้วลีง่าย ๆ จะช่วยได้มาก - ต้องเตรียมปลั๊กไฟแบบไหน?
ญี่ปุ่นใช้ปลั๊กไฟแบบ 2 ขาแบน แรงดันไฟฟ้า 100 โวลต์ ควรพก Universal Adapter ไปด้วย - จำเป็นต้องซื้อ JR Pass หรือไม่?
การซื้อ JR Pass จะคุ้มค่าหากคุณวางแผนเดินทางระหว่างเมืองใหญ่ ๆ เช่น โตเกียว เกียวโต โอซาก้า และนิกโก้ เพราะจะช่วยประหยัดค่าเดินทางรถไฟชินคันเซ็นได้มาก อย่างไรก็ตาม หากคุณเที่ยวเฉพาะในโตเกียวหรือเมืองใกล้เคียง JR Pass อาจไม่คุ้มค่า ควรเปรียบเทียบค่าเดินทางและตรวจสอบแผนการเดินทางก่อนซื้อ - การใช้บัตรเครดิตในญี่ปุ่นเป็นอย่างไร?
ร้านค้าและร้านอาหารในเมืองใหญ่ส่วนใหญ่รับบัตรเครดิต เช่น Visa และ Mastercard แต่ร้านค้าขนาดเล็กบางแห่งหรือในเมืองเล็ก ๆ อาจรับเฉพาะเงินสด ดังนั้นควรมีเงินสดติดตัวไว้เสมอสำหรับความสะดวก - มีข้อห้ามอะไรที่ควรรู้ก่อนเดินทางไปญี่ปุ่นบ้าง?
- ห้ามถ่ายรูปภายในศาลเจ้าหรือวัดโดยไม่ได้รับอนุญาต
- ห้ามพูดเสียงดังหรือรับโทรศัพท์บนรถไฟ (ควรปิดเสียงโทรศัพท์หรือใช้โหมดสั่น)
- ไม่ควรเสียบตะเกียบไว้ในชามข้าว เพราะถือเป็นสัญลักษณ์ของงานศพ
- ห้ามสูบบุหรี่ในที่สาธารณะ หากไม่มีพื้นที่สูบบุหรี่ที่กำหนด
- ควรพกกระเป๋าเดินทางขนาดไหนไปญี่ปุ่น?
ขนาดของกระเป๋าเดินทางขึ้นอยู่กับระยะเวลาและกิจกรรมที่คุณวางแผนไว้ หากต้องเดินทางด้วยรถไฟบ่อย ๆ เช่น ชินคันเซ็น ควรพกกระเป๋าขนาดกลางหรือเล็กเพื่อความสะดวก เนื่องจากพื้นที่เก็บสัมภาระบนรถไฟอาจมีจำกัด หรือคุณสามารถใช้บริการส่งกระเป๋า (Takuhaibin) จากโรงแรมหนึ่งไปยังอีกโรงแรมหนึ่งเพื่อความสะดวก - ญี่ปุ่นมีอินเทอร์เน็ตฟรีไหม?
ในเมืองใหญ่ ๆ เช่น โตเกียวและโอซาก้า มีบริการอินเทอร์เน็ต Wi-Fi ฟรีตามสถานีรถไฟ ห้างสรรพสินค้า ร้านกาแฟ และสนามบิน อย่างไรก็ตาม อาจไม่ครอบคลุมทุกพื้นที่ ดังนั้นการเช่า Pocket Wifi หรือซื้อซิมการ์ดจะช่วยให้คุณใช้อินเทอร์เน็ตได้สะดวกตลอดการเดินทาง - ขับรถในญี่ปุ่นยากไหม?
การขับรถในญี่ปุ่นค่อนข้างเป็นเรื่องท้าทายสำหรับนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ที่มีการจราจรหนาแน่น นอกจากนี้ ถนนบางสายมีป้ายเฉพาะภาษาญี่ปุ่น และที่จอดรถในเมืองอาจหาได้ยาก หากคุณต้องการขับรถท่องเที่ยว ควรมีใบขับขี่สากลและศึกษาเส้นทางล่วงหน้า รวมถึงตรวจสอบกฎจราจรของญี่ปุ่นอย่างละเอียด

“บริการรับทำแพลนเที่ยว วางแผนเที่ยวญี่ปุ่น หรือให้ลูกค้ามาเลือกแพลนเที่ยวได้่เองสามารถเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเองได้แบบง่าย ๆ”
บทความที่เกี่ยวข้อง
- เรื่องควรรู้ ก่อนเช่ารถขับเที่ยวญี่ปุ่น ด้วยตนเอง
- ทำความรู้จักกับภูมิภาคของประเทศญี่ปุ่น ก่อนไปเที่ยวกันดีกว่า
- 10 แหล่งท่องเที่ยวห้ามพลาดของโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศญี่ปุ่น (JNTO) : https://www.jnto.or.th
- Travel Japan by JNTO : https://www.japan.travel/th/
- DiGJAPAN! : https://digjapan.travel/th/
- เที่ยวญี่ปุ่น JNTO : https://www.jnto.or.th
- JapanKakkoii.com : https://www.japankakkoii.com